[ad_1]
l ความน่าหลงใหลในชีวิตความเป็นมุสลิม l
นั่งคุยกับเยาวชนมุสลิมหลายคน คำถามหนึ่งปรากฎขึ้นมาก็คือ ในชีวิต “ความเป็นมุสลิม” มันมีอะไรที่น่าสนุก มีสีสัน มีความน่าสนใจ และมีความน่าหลงใหล? เพราะบางคนอาจจะรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ ไม่น่าอยู่ มีแต่เรื่องท้าตีท้าต่อยระหว่างพวกนั้นพวกนี้อยู่เสมอ เราก็ได้ตอบไปว่า อย่าไปให้ความสำคัญกับประเด็นพวกนั้น ก้าวข้ามและลองกลับมาทบทวนชีวิตความมุสลิมที่น่าหลงใหลกันใหม่ มันมี 2 ประเด็นใหญ่
1) ชีวิตที่อยู่กับความเป็นหนึ่งเดียวของพระผู้เป็นเจ้า และปฏิเสธการตั้งภาคีทั้งหมด
ความน่าหลงใหลอย่างแรก นั่นคือ การเป็นศาสนาที่ให้ยึดถึอใน “ความเป็นหนึ่ง” ของพระเจ้า ในแบบที่ไม่มีสิ่งใดๆ เหมือนพระองค์ ดังนั้น จึงไม่ปรากฎรูปภาพ รูปปั้น ของพระเจ้าไม่ว่ารูปแบบใด ไม่ปรากฏรูปพระองค์แม้แต่ในจินตนาการ มีคนแทรกถามว่า แล้วเราจะนึกถึงพระองค์ได้ในแบบไหนกัน? ในเมื่อพระองค์อยู่เหนือจินตนาการทุกรูปแบบ คำตอบในเรื่องนี้ก็คือ เรายังจำเป็นต้องย้ำความศรัทธาตามที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์และสุนนะฮฺ แต่ต้องกำกับเสมอว่า “พระองค์ไม่เหมือนสิ่งถูกสร้างใด และไม่มีสิ่งถูกสร้างใดเหมือนพระองค์” จากนั้นคือการพยายามนึกถึง “อัสมาอุล หุสนา” (พระนามอันสวยงาม) ของพระองค์แทน ด้วยการกล่าวพระนามเหล่านี้บ่อยๆ ในขณะดุอาอ์ และการตระหนักรู้ในอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ผ่านการใคร่ครวญความมหัศจรรย์ในการสร้าง
ความน่าหลงใหลและกลายเป็นความน่าท้าทายตรงนี้คือ การทำให้ชีวิตดำรงอยู่โดยปราศจากทุกรูปแบบของ “ชิรก” (การตั้งภาคี) ไม่มีเรื่องไสยศาสตร์ ไม่มีเรื่องหมอดู ไม่เรื่องมีเรื่องโชคลาง ไม่มีเรื่องของขลัง ไม่กราบไหว้สิ่งอื่นใดนอกจากพระองค์ และตลอดจนลงลึกไปถึงจิตใจที่หาทางทุกอย่างไม่ให้เกิด “ชิรก เคาะฟียฺ” (การตั้งภาคีที่ซ่อนเร้น) อย่างเช่น อุญุบ(อัตตา,การหลงตัวเอง), ริยาอ์ (การโอ้อวดความดี) สุมอะฮฺ (ความอยากเด่นอย่างดัง)
ที่กล่าวมาทั้งหมดคืออุดมคติชีวิตที่สะอาดหมดจดจริงๆ และเป็นเป้าหมายสูงสุดของคำสอนอิสลาม คือการดำรงสถานะ “ความเป็นหนึ่ง” ของพระผู้เจ้าไว้กับชีวิตได้ในทุกปรากฏการณ์ นี่คือการมีชีวิตที่มีความน่าหลงใหลและน่าท้าทายอย่างที่สุด
2) ชีวิตที่ดำรงอยู่ในสถานะของผู้ครองธรรมและผู้ครองเรือน(ไม่มีนักบวชและไม่มีฆราวาส)
ความน่าหลงใหลอย่างสองคือ การมีชีวิตที่แต่ละคนต้องตระหนักว่า ไม่มีนักบวชและไม่มีฆราวาสในตัวมุสลิม (หรืออาจจะกล่าวได้ในทางตรงข้ามว่า มันมีทั้งสองสิ่งในตัวมุสลิม โดยไม่ได้แยก) ความน่าหลงใหลอย่างมากของชีวิตแบบนี้ คือการที่ต้องทำหน้าที่ทั้งการครองธรรมและการครองเรือน การต้องพัฒนาชีวิตทางจิตวิญญาณและชีวิตในสังคมขึ้นมาพร้อมๆ กัน การที่ต้องพัฒนาทั้งชีวิตความเป็นปัจเจกชนและชีวิตความเป็นประชาชาติ(อุมมะฮฺ)
ความน่าหลงไหลคือการใช้ชีวิตในแบบที่ว่า ต้องชำระตัวตน(นัฟสฺ)ให้บริสุทธิ์ไปพร้อมกับการมีลูกมีเมียได้โดยมีอย่างมีความรับผิดชอบ เป็นชีวิตที่ต้องละหมาดวันละห้าเวลาที่เสมือนเป็นลำธารชำระล้าง แต่พอละหมาดเสร็จก็ออกไปแสวงหาความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้าบนหน้าแผ่นดินอย่างคนไม่ยอมแพ้ และในแต่ละปีมีหนึ่งเดือนที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษในฝึกฝนระงับตน(คือในเดือนรอมฎอน)อย่างพร้อมเพียงกัน แต่ก็ไม่ได้ทิ้งวิถีทางในการแสวงหาริสกี(ปัจจัยยังชีพ) นี่เป็นวิถีชีวิตทางจิตวิญญาณของมวลชนขนาดมหึมา ไปพร้อมๆ กับการพัฒนาอารยธรรมของมนุษย์ การทำชีวิตสองด้านนี้ให้กลมกลืนและลงตัวได้อย่างดีเยี่ยมทั้งสองด้าน คือความน่าหลงใหลและน่าท้าทายที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิตความเป็นมุสลิม
สีสันและความน่าท้าทายอันนี้ต้องอาศัย “ต้นแบบ” นั่นคือการพยายามอย่างที่สุดที่จะดึง “อัคลาก”(ตัวตน, นิสัย, จรรยาธรรม) ของท่านนบีมาไว้ที่ตัวเราให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันถึงไปสู่จุดแห่งความสำเร็จได้
[ อัลกุรอาน หะดีษ และความเป็นจริงในหน้าประวัติศาสตร์ ]
ที่กล่าวมาเป็นชีวิตมุสลิมที่น่าหลงใหลและกลายเป็นความน่าท้าทายว่า เราจะทำได้จริงแค่ไหนในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ความน่าท้าทายทั้งสองอย่างที่กล่าวมาข้างต้นยังกำหนดให้ผู้ศรัทธาต้องอยู่กับคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่ถูกเก็บรักษาไว้ในมือมุสลิมเหมือนกันทั่วโลกตลอดพันปีที่ผ่านมา และยังคงมีการอ่าน การศึกษาเรียนรู้ และย้ำเป็นพิเศษในเดือนรอมฎอน นอกจากนี้ ชีวิตมุสลิมยังเป็นชีวิตที่ต้องอยู่กับรูปแบบชีวิตท่านนบีที่ปรากฎชัดใน “หะดีษ” ที่เป็นกระแสการรายงานต่างๆ (และกลายเป็นตำราบันทึกที่หลากหลายคนบันทึก) เป็นชีวิตที่ถูกใช้อ้างอิงและดำเนินตาม
มันยังเป็นความน่าท้าทายที่ถูกพิสูจน์ผ่านความจริงทางประวัติศาสตร์อันยาวนานที่ปรากฎผู้คนที่่ผ่านเข้ามาทำให้เห็นเป็นจริง และมีการใช้เครื่องมือ “อิจญติฮาด” (การตีความ)ที่ศาสนาส่งเสริมให้ใช้ เพื่ออิสลามไหลลื่นไปสู่บริบทต่างๆ ได้อย่างที่คงสารัตถะ(แก่นแท้)และเจตนารมณ์ของมันไว้ได้ ดังนั้น ประวัติศาสตร์พันกว่าปีที่ผ่านมาจึงเป็นประวัติศาสตร์ที่น่าหลงใหลของผู้คนที่เคลื่อนเข้ามาทำการตัจญดีด(ฟื้นฟู)และอิหฺยาอ์(ฟื้นชีวิต)ต่อสายธารคำสอนอิสลามตราบจนถึงวันสิ้นโลก
ชีวิตความเป็นมุสลิม เป็นชีวิตที่มีสีสัน น่าหลงใหล และน่าท้าทาย แต่สุดท้ายสิ่งทั้งหมดนี้กลับวัดกันที่ระดับชั้นของสวรรค์ ส่วนในโลกนี้นั้นถือเป็นโลกของการทดสอบ มาแล้วก็ไป ไม่ใช่สิ่งที่จะยึดติด เพราะความเป็นที่สุดของมันอยู่ที่สวนสวรรค์… ตรงสุดท้ายนี่เองคือความมีสีสัน ความน่าหลงใหล และความน่าท้าทายที่แท้จริง
|อัล อัค|
[ad_2]
Source (แหล่งอ้างอิง)