การศึกษาอัลกุรอาน ด้านการซื้อขายและดอกเบี้ยในอิสลาม
قال الله تعالى :اَحَلَّ الْلٰهُ الْبَْيْعَ وَ حَرَّمَ الِّرِبَا
“อัลลอฮ์ทรงอนุญาตการซื้อขายแต่ห้ามดอกเบี้ย”
1)ขอบเขตการอนุญาตนั้นแค่ไหน
การซื้อขายในอิสลามหรือ “การค้า” นั้นมีหลักการและขอบเขตที่ชัดเจนเพื่อให้การทำธุรกรรมเป็นธรรมและไม่มีการเอาเปรียบ ในอิสลามการค้าเป็นสิ่งที่ได้รับอนุญาตและถูกต้อง หากปฏิบัติตามหลักการพื้นฐานต่างๆ ดังนี้:
- ความซื่อสัตย์: ทุกฝ่ายต้องมีความซื่อสัตย์ในกระบวนการซื้อขาย ไม่มีการโกหกหรือปกปิดข้อมูลที่สำคัญ
- การยอมรับจากทั้งสองฝ่าย: การซื้อขายต้องเกิดจากการยินยอมของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ไม่มีการบังคับหรือกดดัน
- การกำหนดราคาเป็นธรรม: ราคาสินค้าหรือบริการต้องเป็นธรรมและไม่ได้ตั้งราคาสูงเกินไป
- ไม่มีการเอาเปรียบ: ไม่มีการโกง, การเอารัดเอาเปรียบ หรือการหาประโยชน์จากความไม่รู้ของอีกฝ่าย
- สินค้าที่ถูกต้องตามศาสนา: สินค้าหรือบริการที่ขายต้องไม่เป็นสิ่งต้องห้ามในอิสลาม เช่น สุรา, สุกร, หรือสิ่งของที่ผิดหลักศาสนา
- ไม่มีการเสี่ยงโชคหรือการพนัน: การค้าขายต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพนันหรือการเสี่ยงโชค (Gharar)
ขอบเขตเหล่านี้ช่วยให้การทำธุรกรรมเป็นไปอย่างยุติธรรมและน่าเชื่อถือในสายตาของศาสนาอิสลามครับ
2)”บัยอุน-การซื้อขาย”คืออะไรแปลว่าอะไร
“บัยอุน” (Bay’un) ในภาษาอาหรับ แปลว่า “การซื้อขาย” ซึ่งหมายถึงกระบวนการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อในบริบทของศาสนาอิสลาม การซื้อขายนี้ต้องเป็นไปตามหลักการของอิสลาม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ
การซื้อขายในอิสลามต้องปฏิบัติตามหลักการเช่น ความซื่อสัตย์ ความยินยอมของทั้งสองฝ่าย และการตั้งราคาที่เป็นธรรม การซื้อขายนี้ยังต้องไม่มีการเอาเปรียบหรือการเสี่ยงโชคที่ไม่ชอบธรรมในหลักการศาสนาอิสลามครับ
3) “บัยอุน-การซื้อขาย” มีกี่ประเภท มีกี่สภาพ มีโครงสร้างอะไรบ้าง และมีเงิ่อนไขอะไรบ้าง
ประเภทของการซื้อขาย:
- บัยอุลมุฎลัก (การซื้อขายทั่วไป): การซื้อขายสินค้าหรือบริการระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อที่มีเงื่อนไขที่ตกลงกันได้.
- บัยอุลซาลาม (การซื้อขายล่วงหน้า): ผู้ซื้อจ่ายเงินล่วงหน้าให้กับผู้ขายก่อนที่จะได้รับสินค้าหรือบริการในอนาคต.
- บัยอุลมุรอบะฮะ (การซื้อขายที่มีการแจ้งต้นทุน): ผู้ขายแจ้งต้นทุนที่แท้จริงของสินค้าหรือบริการแก่ผู้ซื้อ และมีการตกลงกันว่าผู้ขายจะได้รับกำไรเป็นจำนวนเท่าไร.
- บัยอุลอิจาระฮ (การเช่าและเช่าซื้อ): การเช่าหรือเช่าซื้อสินค้าหรือทรัพย์สินตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน.
- บัยอุลอิสติสนาอ์ (การสั่งทำสินค้าหรือบริการ): ผู้ซื้อสั่งทำสินค้าหรือบริการตามความต้องการ โดยที่ผู้ขายจะต้องผลิตหรือให้บริการตามที่ตกลงกัน.
สภาพของการซื้อขาย
- สภาพที่สมบูรณ์ (Valid): การซื้อขายที่ปฏิบัติตามหลักการอิสลามและไม่มีการเอาเปรียบ.
- สภาพที่ไม่สมบูรณ์ (Void): การซื้อขายที่ไม่ปฏิบัติตามหลักการอิสลามและมีการเอาเปรียบหรือการโกง.
โครงสร้างของการซื้อขาย
- ผู้ขายและผู้ซื้อ (Seller and Buyer): ทั้งสองฝ่ายต้องมีความยินยอมและไม่มีการบังคับ.
- สินค้าและบริการ (Goods and Services): ต้องเป็นสินค้าที่ถูกต้องตามหลักอิสลาม.
- ราคาและเงื่อนไข (Price and Terms): ราคาต้องเป็นธรรมและเงื่อนไขต้องชัดเจน.
- ข้อตกลงและสัญญา (Agreement and Contract): ต้องมีการทำสัญญาที่ชัดเจนและถูกต้องตามกฎหมาย.
เงื่อนไขของการซื้อขาย
- การตกลงจากทั้งสองฝ่าย (Mutual Consent): การซื้อขายต้องเกิดจากความยินยอมของทั้งสองฝ่าย.
- ไม่มีการเอาเปรียบหรือโกง (No Fraud or Deception): การซื้อขายต้องเป็นธรรมและไม่มีการโกง.
- การระบุรายละเอียด (Specification): ต้องมีการระบุรายละเอียดของสินค้าและบริการให้ชัดเจน.
- การชำระเงินและการส่งมอบ (Payment and Delivery)
4)มีการซื้อขายประเภทต้องห้ามไหม และมีอะไรบ้าง
ในอิสลามมีการซื้อขายบางประเภทที่ถูกห้าม เนื่องจากไม่สอดคล้องกับหลักการของความยุติธรรมและการปฏิบัติที่ถูกต้อง นี่คือบางประเภทของการซื้อขายที่ต้องห้าม
- ริบา (Riba): ดอกเบี้ยในอิสลาม การเก็บดอกเบี้ยจากการให้กู้ยืมเงินหรือการทำธุรกรรมการเงินที่มีดอกเบี้ย ถือเป็นสิ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาด
- การโกงหรือการปกปิดข้อมูล (Gharar): การทำธุรกรรมที่มีความไม่แน่นอน หรือการขายสิ่งที่ยังไม่ชัดเจนหรือยังไม่เกิดขึ้น การปกปิดข้อมูลที่สำคัญจากผู้ซื้อ
- การพนัน (Maysir): การทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพนันหรือการเสี่ยงโชค ซึ่งมีโอกาสที่จะสูญเสียหรือได้ประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรม
- การซื้อขายสินค้าต้องห้าม: การขายสินค้าที่ผิดหลักการศาสนา เช่น สุรา, สุกร, สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ หรือสิ่งที่ขัดต่อศีลธรรมและจริยธรรม
- การหลอกลวง (Tadlis): การขายสินค้าที่มีการปกปิดข้อบกพร่องหรือการหลอกลวงเรื่องคุณภาพของสินค้า
5)”ริบา-ดอกเบี้ย” คืออะไร ?
“ริบา” (Riba) หรือดอกเบี้ยในบริบทของอิสลาม หมายถึงการเก็บหรือจ่ายดอกเบี้ยจากการให้ยืมเงินหรือการทำธุรกรรมการเงินอื่นๆ ซึ่งถือเป็นสิ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาดในอิสลาม
หลักการของอิสลามถือว่า “ริบา” เป็นการเอาเปรียบและสร้างภาระเพิ่มเติมให้กับผู้กู้ยืม ซึ่งขัดกับหลักการของความยุติธรรมและความเมตตา อิสลามส่งเสริมให้ทำธุรกรรมที่เป็นธรรมและไม่เอาเปรียบกัน เช่น การทำสัญญาการค้าหรือการลงทุนที่มีการแบ่งผลกำไรขาดทุนกันอย่างเท่าเทียมกัน
หลักการของอิสลามเกี่ยวกับการเงิน:
- ความเป็นธรรมและการยินยอมจากทุกฝ่าย
- หลีกเลี่ยงการเอาเปรียบและการโกง
6) “ริบา” ธุรกรรมใดมีโครงสร้างและเงื่อนไขอะไรที่เข้าข่าย “ริบา”
“ริบา” (Riba) หมายถึงดอกเบี้ยหรือกำไรส่วนเกินที่เกิดจากการให้กู้ยืมเงินหรือการทำธุรกรรมการเงินที่มีดอกเบี้ย โดยในอิสลาม การทำธุรกรรมที่มีลักษณะเข้าข่าย “ริบา” จะมีลักษณะและเงื่อนไขดังนี้:
โครงสร้างของธุรกรรมที่เข้าข่าย “ริบา”
- การให้กู้ยืมเงิน (Loans): การกู้ยืมเงินที่มีดอกเบี้ยหรือการกำหนดผลประโยชน์ส่วนเกินที่ต้องจ่ายคืน
- การซื้อขายในลักษณะ Gharar: การทำธุรกรรมที่มีความไม่แน่นอนหรือการเสี่ยงโชคที่ไม่เป็นธรรม
- ธุรกรรมที่มีความไม่แน่นอน: การทำธุรกรรมที่มีความไม่แน่นอนหรือการขายสิ่งที่ยังไม่ชัดเจนหรือยังไม่เกิดขึ้น
- การขายสินค้าที่ไม่ได้รับมอบทันที (Deferred Sales): การขายสินค้าที่ต้องจ่ายเงินทันทีแต่ยังไม่ได้รับสินค้าหรือบริการ
เงื่อนไขของธุรกรรมที่เข้าข่าย “ริบา”
- ดอกเบี้ยที่ต้องชำระ (Interest): การกำหนดดอกเบี้ยหรือผลประโยชน์ส่วนเกินที่ต้องชำระคืนในการให้กู้ยืม
- ความไม่แน่นอนในเงื่อนไข (Uncertainty): ธุรกรรมที่มีความไม่แน่นอนในเรื่องของผลประโยชน์หรือการชำระเงิน
- การแลกเปลี่ยนที่ไม่เท่าเทียม (Unequal Exchange): การแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการที่มีมูลค่าหรือปริมาณไม่เท่ากันโดยมีการกำหนดผลประโยชน์ส่วนเกิน
- การเอาเปรียบหรือหลอกลวง (Exploitation or Deception): ธุรกรรมที่มีการเอาเปรียบหรือการหลอกลวงเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ส่วนเกิน
การทำธุรกรรมที่เป็นธรรมและสอดคล้องกับหลักการศาสนาอิสลามนั้นจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงธุรกรรมที่เข้าข่าย “ริบา” เพื่อความเป็นธรรมและการปฏิบัติที่ถูกต้องครับ
7)”ริบัดดุยูน” คืออะไร ?
“ริบัดดุยูน” (Ribaa al-Duyun) หรือดอกเบี้ยในหนี้สิน หมายถึงการที่คนหนึ่งกู้เงินจากอีกคนหนึ่งแล้วต้องจ่ายคืนด้วยจำนวนเงินที่มากกว่าที่กู้มาตั้งแต่แรก ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดในศาสนาอิสลามและต้องห้ามโดยหลักศาสนา
ในศาสนาอิสลาม การทำธุรกรรมการเงินที่มีการเรียกเก็บดอกเบี้ยนั้นถือเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม เพราะดอกเบี้ยนี้ถูกมองว่าเป็นการเอาเปรียบและเป็นการสร้างภาระเพิ่มเติมให้แก่ผู้ที่กู้ยืม
8)”ริบั้ลยุยัวอฺ” คืออะไร
“ริบั้ลยุยัวอฺ” (Riba al-Nasi’ah) คือหนึ่งในประเภทของดอกเบี้ยในศาสนาอิสลาม ซึ่งหมายถึงการเลื่อนเวลาชำระหนี้แล้วเรียกเก็บดอกเบี้ยเพิ่มเติม การกระทำนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้ตามกำหนดเวลาและต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่ล่าช้า การเรียกเก็บดอกเบี้ยในลักษณะนี้ถูกห้ามอย่างชัดเจนในอิสลาม เนื่องจากถือเป็นการเอาเปรียบและสร้างภาระเพิ่มเติมให้กับผู้กู้
ในอิสลาม การทำธุรกรรมที่ยุติธรรมและไม่มีการเรียกเก็บดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ดังนั้นการทำสัญญาการค้าหรือการลงทุนที่ไม่มีการเรียกเก็บดอกเบี้ยนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและได้รับการสนับสนุน
9) อะไรคือทรัพย์ดอกเบี้ย และอะไรไม่ใช่ทรัพย์ดอกเบี้ย
ในอิสลาม ทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับ “ริบา” (ดอกเบี้ย) มีการแบ่งแยกออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ คือ ทรัพย์ที่เข้าข่ายดอกเบี้ยและทรัพย์ที่ไม่เข้าข่ายดอกเบี้ย
ทรัพย์ที่เข้าข่ายดอกเบี้ย (Ribawi Goods)
ทรัพย์ที่สามารถเก็บดอกเบี้ยได้มีลักษณะเฉพาะเจาะจงและสามารถใช้เป็นพื้นฐานในการแลกเปลี่ยน ซึ่งได้แก่:
- ทองคำ (Gold): ใช้เป็นเงินตราหรือสินค้าสำหรับการแลกเปลี่ยน
- เงิน (Silver): ใช้เป็นเงินตราหรือสินค้าสำหรับการแลกเปลี่ยน
- อาหารหลัก (Staple Foods): เช่น ข้าวสาลี, ข้าวบาร์เลย์, ข้าว, ข้าวโพด, อินทผาลัม, เกลือ
ทรัพย์เหล่านี้ต้องมีการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม (equal exchange) และไม่มีการเอาเปรียบ
ทรัพย์ที่ไม่เข้าข่ายดอกเบี้ย (Non-Ribawi Goods)
ทรัพย์ที่ไม่เข้าข่ายดอกเบี้ยเป็นสินค้าหรือบริการที่ไม่มีการเก็บดอกเบี้ยและไม่เข้าข่าย “ริบา” ได้แก่:
- สินค้าที่ไม่ใช่เงินหรืออาหารหลัก: เช่น เสื้อผ้า, เครื่องใช้ไฟฟ้า, สินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ
- บริการ: เช่น การศึกษา, การแพทย์, การให้คำปรึกษา
การซื้อขายทรัพย์เหล่านี้สามารถทำได้โดยไม่มีการเก็บดอกเบี้ยหรือกำไรส่วนเกินที่ไม่เป็นธรรม
การปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้ช่วยให้การทำธุรกรรมในอิสลามเป็นธรรมและยุติธรรม
10) เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับดอกเบี้ยมีผลอย่างไร
ในอิสลาม การยุ่งเกี่ยวกับดอกเบี้ยหรือ “ริบา” มีผลที่เป็นอย่างมากและถือว่าผิดศีลธรรมอย่างสูง นี่คือผลกระทบหลักๆ:
- ผลต่อศาสนา: การเรียกเก็บดอกเบี้ยถูกห้ามอย่างชัดเจนในคัมภีร์อัลกุรอานและฮะดีษ การทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้า ซึ่งอาจทำให้สูญเสียความโปรดปรานและการให้อภัยจากพระองค์.
- ผลต่อสังคม: ดอกเบี้ยมักจะเป็นภาระเพิ่มเติมที่ผู้กู้ยืมต้องแบกรับ ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมและความไม่สมดุลในสังคม ทำให้คนที่มีเงินมีโอกาสเอาเปรียบคนที่ต้องการกู้ยืม.
- ผลต่อเศรษฐกิจ: การเรียกเก็บดอกเบี้ยสามารถทำให้เกิดเศรษฐกิจที่มีลักษณะของความไม่เสถียร เนื่องจากการเพิ่มภาระให้กับผู้กู้ยืม ทำให้การลงทุนและการพัฒนาชะลอตัวลง.
การหลีกเลี่ยงการยุ่งเกี่ยวกับดอกเบี้ยจึงถือเป็นสิ่งสำคัญในอิสลาม เพื่อรักษาความยุติธรรมและความเป็นธรรมในสังคม.
นี่แค่เพียงอายะห์สั้นๆ หากต้องการความเข้าใจโดยถ่องแท้เพื่อนำไปปฏิบัติแล้ว คงต้องใช้เวลาและความพยายามอีกมากที่เดียว
คำถามง่ายๆ ท้ายบทความนี้
1. การที่คนหนึ่งพยายามศึกษาภาษอาหรับเพื่อให้ทราบความหมาย “บัยอุน” และ “ริบา” รวมถึงคำว่า “อะหั่ลล่า” เขายังกำลังศึกษาอัลกุรอ่านอยู่ไหม ?
2. การที่คนคนหนึ่งค้นหา “ฮะดีษ” จากท่านนบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่ได้พูด ได้ทำ ได้ยอมรับรู้แบบการซื้อขาย และที่ได้ห้าม ได้ปราม และชี้แจงรายละเอียดของดอกเบั้ยไว้ เขาจะยังอยู่ในสภาพที่ศึกษาอัลกุรอ่านอยู่ไหม ?
3. การที่คนคนหนึ่งค้นหาคำอธิบายของปวงปราชญ์ตั้งแต่ยุคศ่อฮาบะห์จนถึงปราชญ์ร่วมสมัย ที่เกี่ยวกับการซื้อขายและดอกเบี้ย ท่านคิดว่าเขายังอยู่ในการศึกษาอัลกุรอ่านอยู่ไหม ?
ดังนั้นหากท่านมีมุมมองแคบๆ เข้าใจแคบๆ เกี่ยวกับคำว่า “ศึกษาอัลกุรอ่าน” อยู่ก็จงปรับทัศนคติเสียใหม่
ผู้ที่นังเรียน “หุก่ม” ของการซื้อขาย นั่งเรียน “หุก่ม” ของดอกเบี้ย จนเข้าใจได้อย่างถูกต้อง ท่านคิดว่าเขาทิ้งการศึกษาอัลกุรอ่านไปอย่างนั้นหรือ หรือว่าเขากำลังศึกษาความหมายและหุก่มของอัลกุรอ่านอยู่ แต่ท่านเองที่ละทื้งสำคัญที่สุดนี้ไป และไปเน้นในเรื่องที่มีความสำคัญน้อยกว่า
การศึกษาอัลกุรอ่านมีหลายมิติ และมิติที่สำคัญและยิ่งใหญ่คือเข้าใจความหมาย เข้าใจหุก่มต่างๆ และสามรถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริงนั่นและคือเป้าหมายหลักของการเรียนรู้อัลกุรอ่าน
ท่านอิหม่ามกุรฏุบี้ ร่อหิมะฮุลลอฮ์ กล่าวไว้ว่า
قال القرطبي رحمه الله ” وأجمع المسلمون نقلا عن نبيهم صلى الله عليه وسلم أن اشتراط الزيادة في السلف ربا، ولو كان قبضة من علف – كما قال ابن مسعود – أو حبة واحدة” في تفسيره (3/ 241)
“ปวงมุสลิมต่างรายงานจากนบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ของพวกเขาว่า การตั้งเงื่อนไขเรียกเก็บเพิ่ม(เกินกว่ามูลหนี้จากการ)กู้ยืม มันคือดอกเบี้ย
แมัแค่หญ้าสักกำมือ หรือเหมือนอย่างที่อิบนุมัสอู๊ด (ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ) กล่าวไว้ว่า หรือแม้แต่เมล็ดพืชเมล็ดเดียวก็ตาม”
(ตัฟสีรกุรฏุบี้ เล่ม 3 หน้า 241)
สรุปคือ
1-หญ้ากำมือเดียวก็เป็นดอกเบี้ยได้
2-เมล็ดพืชเมล็ดเดียวก็เป็นดอกเบี้ยได้
3-สิ่งที่น้อยและด้อยค่ากว่านี้คงหายากแล้ว