และข้าพระองค์ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ให้พ้นจากการที่พวกมันจะนำความชั่วร้ายมาสู่ข้าพระองค์ (Al-Quran 23:98)
ชัยฏอน หรือ ญิน หรือที่เรียกกันว่า ปีศาจนั่นเอง ช่วงแรกยุซรอมักเจอะเจอเจ้าชัยฏอนในความฝัน และได้ถามมันว่ารู้จักอัลลอฮ์ ไหมพวกมันบอกว่า อ๋อ ! ผู้ที่สร้างโลกใบนี้ใช่ไหมฉันไม่รู้จักหรอก เมื่อตื่นขึ้นยังนึกแปลกใจว่าทำไมถึงฝันไปได้ขนาดนั้น แต่มันทำให้ได้ข้อคิดว่าแม้แต่ชัยฏอนยังรู้ว่าพระองค์คือใคร แต่มันไม่ยอมรับเพราะมันต้องการหลอกลวงมนุษย์ต่อนั่นเอง ยุซรอจึงรำลึกถึงพระองค์ทันที พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นฟ้าและจักรวาล
มัน(ชัยฏอน)กล่าวว่าด้วยเหตุที่พระองค์ได้ทรงให้ข้าพระองค์ตกอยู่ในความหลงผิด แน่นอนข้าพระองค์จะนั่งขวางกั้นพวกเขา ซึ่งทางอันเที่ยงตรงของพระองค์ (Al-Quran 7:16)
ศาสนาอิสลามนั้นยอมรับการมีอยู่ของญินและสิ่งเร้นลับ แต่ไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่ชั่วร้ายเหล่านั้น มุสลิมที่ไปข้องเกี่ยวหรือศรัทธากับสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นการตั้งภาคีกับพระองค์เป็นการทำ ชิริก บุคคลนั้นต้องกล่าวคำปฏิญาณและปฏิบัติตนใหม่ แก้ไขและขออภัยกับพระองค์ด้วยความจริงใจเพื่อให้พระองค์ทรงยกโทษให้ และต้องไม่หวนกลับไปทำสิ่งนั้นอีกเพราะมันเป็นการหลอกลวงของชัยฏอนที่เสี้ยมสอนให้กับคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น และสิ่งเหล่านั้นได้อยู่ภายใต้อำนาจของพระองค์อัลลอฮ์ ถ้ามุสลิมมีจิตใจที่เข้มแข็งละหมาดครบทุกเวลา ทุกวัน รำลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา ไม่มีสิ่งไหนจะทำอันตรายมนุษย์ได้นอกจากได้รับการอนุมัติจากพระองค์ ที่จริงแล้วพี่น้องมุสลิมน่าจะเกรงกลัวอัลลอฮ์ มากกว่าที่จะกลัวชัยฏอนนะ เพราะนรกที่พระองค์ได้สร้างไว้ให้กับผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นมันน่ากลัวมากกว่ายิ่งนัก
แท้จริงชัยฏอนนั้น เพียงขู่ได้เฉพาะบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามมันท่านั้น ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ากลัวพวกเขา และจงกลัวข้าเถิดหากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธา (Al-Quran 3:175)
และแน่นอนยิ่งข้าพระองค์จะทำให้เขาหลงผิด และแน่นอนยิ่งข้าพระองค์จะทำให้พวกเขาเพ้อฝัน และแน่นอนยิ่งข้าพระองค์จะใช้พวกเขา และแน่นอนพวกเขาก็จะผ่าหูปศุสัตว์ และแน่นอนยิ่งข้าพระองค์จะใช้พวกเขา และแน่นอนพวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงสร้าง และผู้ใดได้ยึดเอาชัยฏอนเป็นผู้ช่วยเหลือแล้ว แน่นอนเขาก็ขาดทุนอย่างชัดแจ้ง (Al-Quran 4:119)
สิ่งที่เกิดขึ้นปัจจุบันมนุษย์ตั้งตนเป็นผู้ทรงเจ้าเข้าผี หมอเสน่ห์ หมอดู สิ่งต่างๆเหล่านั้นคือศาสตร์ชั้นต่ำ ผู้ที่ตกอยู่ใต้อำนาจจะเชื่อและเคารพพวกชัยฏอน ขณะนี้ประเทศไทยกำลังงมงายกับศาสตร์ชั้นต่ำเพราะเศรษฐกิจที่ตกต่ำทำให้ผู้คนทั้งหลายหลงงมงายไปกับไสยศาสตร์ พวกเขาเหล่านั้นจะต้องจ่ายเงินให้หมอดูเพื่อแลกกับคำพูดที่ดีเพื่อเป็นกำลังใจ และไม่ดีเพื่อให้ได้รับคำแนะนำในการแก้ไขและนำไปสู่พิธีกรรมต่างๆ พวกเขาเหล่านั้นบางคนเชื่อหรือบางคนไม่เชื่อแต่ได้สูญเสียเงินทองไปแล้วอย่างมากมาย
และวันที่พระองค์จะทรงชุมนุมพวกเขาไว้ทั้งหมด(โดยตรัสขึ้นว่า) หมู่ญินทั้งหลายแท้จริงพวกเจ้าได้กระทำแก่พวกมนุษย์มากมาย และบรรดาสหายของเขาจากหมู่มนุษย์ได้กล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าแห่งพวกข้าพระองค์ บางส่วนของพวกข้าพระองค์นั้นได้รับประโยชน์ด้วยอีกบางส่วน และพวกข้าพระองค์ได้ถึงแล้วซึ่งกำหนดเวลา ของพวกข้าพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงกำหนดไว้แก่พวกข้าพระองค์ พระองค์ตรัสว่านรกนั้นคือที่อยู่ของพวกเจ้า โดยที่จะเป็นผู้อยู่ในนั้นตลอดกาล นอกจากสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์เท่านั้น แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงรอบรู้ (Al-Quran 6:128)
ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าคำพูดของหมอดูนั้นคือเรื่องจริง หรือเป็นการใช้หลักการคำนวณทางสถิติ วิชาที่พวกเขานำมานั้นมาจากแหล่งเดียวกันตำราเดียวกัน เพียงแต่ในแต่ละคนจะมีเทคนิคหรือวิธีการแตกต่างกัน บางคนใช้ชื่อเสียงเพื่อเรียกลูกค้า แล้วพวกเขาเคยดูดวงตนเองบ้างไหม ?
เมื่อก่อนยูซรอยังทำนายให้เพื่อนๆโดยใช้หลักการทางสถิติมาบอกกับเพื่อน เพื่อนยังบอกแม่นเลย ไม่เห็นจะยากทำอย่างไรก็ได้รับผลอย่างนั้น กินอะไรก็เป็นอย่างนั้น ไม่ต้องไปพึ่งหมอดูให้เสียเงินเราสามารถดูดวงตนเองได้ ถ้ามีสติสัมปชัญญะและปัญญาเพียงพอ
ดังนั้นพวกเจ้าจงต่อสู้บรรดาสมุนของชัยฏอนเถิดแท้จริงอุบายของชัยฏอนนั้นเป็นสิ่งอ่อนแอ (Al-Quran 4:76)
ชัยฏอนนั้นมันจะขู่พวกเจ้าให้กลัวความยากจน และจะใช้พวกเจ้าให้กระทำความชั่ว และอัลลอฮ์นั้น ทรงสัญญาแก่พวกเจ้าไว้ ซึ่งการอภัยโทษ และความกรุณาจากพระองค์และอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงกว้างขวาง ผู้ทรงรอบรู้
(Al-Quran 2:268)
มนุษย์นั้นสามารถทำดีเพื่อลบล้างความชั่วได้ จงทำความดีตามหลังความชั่วแล้วอย่ากลับไปทำความชั่วอีก ความเข้าใจในอัลกุรอานทำให้จิตใจไม่อ่อนไหวไปกับสิ่งไร้สาระ มีความเชื่อมั่นและศรัทธาในพระองค์อัลลอฮ์ ยุซรอมีเวลาทบทวนประสบการณ์การเดินทางในชีวิตที่ผ่านมา เมื่อย้อนนึกถึงอดีตทำให้รู้ว่าพระองค์นั้นคอยดูแลและช่วยเหลือยุซรอตลอดมา พระองค์ไม่เคยทอดทิ้ง เพราะในการเดินทางเพื่อทำงานต้องขับรถยนต์ด้วยตนเองตลอดเวลาเกือบที่จะเกิดอุบัติเหตุหลายครั้งหลายครา และอุบัติเหตุที่น่าจะเกิดขึ้นในแต่ละครั้งนั้นคงไม่สามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้อย่างแน่นอน เพราะในแต่ละครั้งนั้นมันคืออุบัติเหตุทางรถยนต์ที่จะต้องทำความเร็วผสมกับความเร่งรีบในการทำงาน ยุซรอโชคดีมากเหลือเกินที่พระองค์ทรงเลือกให้เข้ามาในศาสนาของพระองค์ ศาสนาอิสลามที่แปลว่า การนอบน้อมการยอมจำนนเพื่ออัลลอฮ์ เพียงผู้เดียว
และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นจะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน (Al-Quran 3:85)
ชัยฏอนเป็นศัตรูของเรา
คอเฏ็บ อับดุลสลาม เพชรทองคำ
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงสั่งใช้เราให้มีอัตตักวา คือมีความยำเกรงต่อพระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น ดังนั้น เราจึงต้องสร้างความยำเกรงต่อพระองค์ให้เกิดขึ้นในหัวใจของเราให้ได้ โดยการศึกษา แสวงหาความรู้ในเรื่องราวของบทบัญญัติศาสนา พยายามทำความเข้าใจ และนำมาสู่การปฏิบัติ ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา โดยเราต้องพยายามทำให้สุดความสามารถของเรา ในขณะเดียวกัน ก็ต้องออกห่างจากคำสั่งห้ามของพระองค์โดยสิ้นเชิง พร้อมกันนั้นก็ต้องปฏิบัติอิบาดะฮฺทุกอย่างให้อยู่ในแบบฉบับของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมด้วย นั่นก็คือ ต้องไม่ทำบิดอะฮฺนั่นเอง
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ในอัลกุรอานซูเราะฮฺฟาฏิร อายะฮฺที่ 6 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
إِنَّ الشَّيْطَانَ لَكُمْ عَدُوٌّ فَاتَّخِذُوهُ عَدُوًّا
“…แท้จริง ชัยฏอนนั้นมันเป็นศัตรูของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงนับมันเป็นศัตรูเถิด”
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงบอกให้เราจัดลำดับชัยฏอนให้มันเป็นศัตรูของเรา ..ดังนั้น ชัยฏอนมันจึงไม่ใช่เพื่อน มันไม่ใช่ผู้ที่จะมาหวังดีกับเรา แต่มันกลับคอยแต่จะล่อลวงเรา มันจะทำทุก ๆวิถีทางเพื่อให้เราหลงอยู่ในคำล่อลวงของมัน เพื่อทำให้เราออกห่างจากทางนำที่ถูกต้องของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา
ซึ่งเป้าหมายสูงสุดของมันที่มันต้องการ ก็คือ ทำให้เราปฏิเสธอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา มันพยายามทำให้เราไม่เชื่อในการมีอยู่จริงของพระองค์ หรือให้เราทำชิริกต่อพระองค์ ด้วยเหตุนี้ มันจึงต้องคอยชักชวน คอยล่อลวง คอยกระซิบกระซาบในหัวใจเรา คอยยุยงปลุกปั่นอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเรา เพื่อให้มันได้บรรลุเป้าหมายของมัน
อัลหะดีษในบันทึกของอิมามมุสลิม รายงานจากท่านอะบูหุรอยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุเล่าว่า ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า
– يَأْتي الشَّيْطانُ أحَدَكُمْ فَيَقُولَ: مَن خَلَقَ كَذا وكَذا؟ حتَّى يَقُولَ له: مَن خَلَقَ رَبَّكَ؟ فإذا بَلَغَ ذلكَ، فَلْيَسْتَعِذْ باللَّهِ ولْيَنْتَهِ.
“ชัยฏอนมันจะเข้ามาในหัวใจของพวกท่าน แล้วมันก็จะถาม(อยู่ในใจของพวกท่านนั่นแหละ มันจะถาม)ว่า ใครสร้างสิ่งนั้น ? ใครสร้างสิ่งนี้ ? ( ใครสร้างฟ้า ใครสร้างแผ่นดิน ใครสร้างจักรวาล มันก็จะถามไปเรื่อย ๆ แล้วใครสร้างสิ่งโน้นล่ะ ? แล้วใครสร้างสิ่งนั้นล่ะ ? )
จนกระทั่ง มันถาม( เพื่อให้เราเกิดความสงสัย )ว่า แล้วใครสร้างพระเจ้าของท่านล่ะ ? เมื่อถึงจุดนี้ (ใครที่เจอแบบนี้ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมแนะนำแก่เราว่า ) ท่านจงขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺให้พ้นจากมัน และจงเลิกคิดทันที (หยุดคิดเรื่องนี้เลย แล้วไปทำอย่างอื่น อาจจะ ไปอาบน้ำละหมาด ไปอ่านอัลกุรอาน ไปทำอย่างอื่นที่ดี ๆ )”
อัลหะดีษอีกบทหนึ่งในบันทึกของอิมามมุสลิม รายงานจากท่านอะบีหุรอยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า
لاَ يَزَالُ النَّاسُ يَتَسَاءَلُونَ حَتَّى يُقَالَ هَذَا خَلَقَ اللَّهُ الْخَلْقَ فَمَنْ خَلَقَ اللَّهَ فَمَنْ ذَلِكَ شَيْئًا فَلْيَقُلْ آمَنْتُ بِاللَّهِوَجَدَ مِنْ
“ผู้คนก็จะมาถาม ( ชัยฏอนมันก็จะวางอุบายให้มีคนมาถาม มาถามเราเรื่องนั้นเรื่องนี้ ถามเราว่า ใครสร้างน้ำ ใครสร้างทะเล ใครสร้างมหาสุทร ใครสร้างดวงอาทิตย์ ใครสร้างโลก ใครสร้างดวงจันทร์ เราก็จะตอบว่า อัลลอฮฺ ตะอาลาทรงสร้าง )
จนกระทั่ง( มาถึงคำ )ถามว่า ( เมื่อ )อัลลอฮฺ ทรงสร้างโลก ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมด อย่างนี้แล้วใครสร้างอัลลอฮฺเล่า …. ( ดังนี้แหละ )ถ้าหากใครพบเจอแบบนี้ (ใครพบคนที่มีคำพูดแบบนี้ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมมีคำแนะนำว่า )…เขาก็จงกล่าวว่า آمَنْتُ بِاللَّهِ ฉันศรัทธาต่ออัลลอฮฺแล้ว”.
นี่ก็คือ การงานหนึ่งของชัยฏอน ที่มันคอยจะสร้างความสงสัยให้เรา คอยชักจูงเราให้คล้อยไปตามแนวทางของมัน ซึ่งมันบอกต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาว่า มันจะพยายามหาทุกวิถีทางที่จะทำให้เราออกจากทางนำที่ถูกต้องของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา
ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลอะอ์รอฟ อายะฮฺที่ 17 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงเตือนเรา ทรงบอกว่า ชัยฏอนนั้น มันสัญญา มันบอกต่อพระองค์ว่า
ثُمَّ لَآتِيَنَّهُم مِّن بَيْنِ أَيْدِيهِمْ وَمِنْ خَلْفِهِمْ وَعَنْ أَيْمَانِهِمْ وَعَن شَمَائِلِهِمْ ۖ وَلَا تَجِدُ أَكْثَرَهُمْ شَاكِرِينَ
“และข้าพระองค์( อิบลีส )จะมายังพวกเขา( มนุษย์ ) จากเบื้องหน้าของพวกเขา และจากเบื้องหลังของพวกเขา และจากเบื้องขวาของพวกเขา และจากเบื้องซ้ายของพวกเขา
และพระองค์จะไม่ทรงพบว่าส่วนมากของพวกเขานั้นเป็นผู้ขอบคุณ (นั่นก็คือ ส่วนใหญ่ของมนุษย์นั้นเป็นผู้ที่ไม่ขอบคุณต่อพระองค์ )”
ดังนั้น ชัยฏอนมันจะมีวิธีล่อลวงเราอยู่ตลอดเวลา แต่จะมีบางช่วงเวลาที่นักวิชาการได้บอกว่า เป็นช่วงเวลาทองที่ชัยฏอนมันจะทำงานเป็นพิเศษ …ช่วงเวลาดังกล่าวได้แก่ช่วงเวลาใดบ้าง ?
ช่วงเวลาที่หนึ่ง ก็คือ ช่วงเวลาที่สามีภรรยาจะมีเพศสัมพันธ์
การมีเพศสัมพันธ์อาจทำให้เกิดทารกได้ นั่นแหละที่ชัยฏอนมันจะเข้ามาแทรกแซง ถ้าการมีเพศสัมพัน์ครั้งนั้นทำให้เกิดทารก ชัยฏอนมันอาจจะมาทำร้ายทารกที่กำลังจะมาเกิดได้ ดังนั้น ก่อนมีเพศสัมพันธ์กัน ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมจึงให้อ่านดุอาอ์เพื่อป้องกันการแทรกแซงของชัยฏอน
อัลหะดีษในบันทึกของอิมามอัลบุคอรีย์ รายงานจากท่านอิบนุ อับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุเล่าว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวความว่า
“หากสามีภรรยาคู่ใดต้องการมีเพศสัมพนธ์กัน
ท่านจงอ่าน بِسْمِ الله اللَّـهُـمَّ وَجَنِّبِ الشَّيْطَانَ مَا رَزَقْتَنَا جَنِّبْنَا الشَّيْطَانَا
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ โอ้ อัลลอฮฺ โปรดให้ชัยฏอนห่างไกลจากเรา และโปรดให้ชัยฏอนห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ทรงให้เป็นริสกีแก่เราด้วยเถิด (หมายถึงให้ชัยฏอนห่างไกลจากทารกที่จะเกิดมา) ..ซึ่งถ้าหากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งนั้นทำให้เกิดทารก .. ชัยฏอนมันก็จะไม่สามารถรังแก หรือทำร้ายทารกคนนั้นได้”
ช่วงเวลาที่สอง ก็คือ ช่วงเวลาแรกเกิดของทารก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชัยฏอนมันจะมาสัมผัสตัวของทารก จนทำให้ทารกร้องไห้
อัลหะดีษในบันทึกของอิมามอัลบุคอรีย์ รายงานจากท่านอะบูหุรอยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวความว่า
“ไม่มีทารกคนใดที่เมื่อคลอดออกมาแล้ว นอกเสียจากว่า ทารกคนนั้นจะถูกสัมผัส( ถูกตี )จากชัยฏอน จนทำให้ทารกนั้นร้องไห้ อันเนื่องมาจากการสัมผัสของชัยฏอนนั้น ( ก็คือร้องไห้เพราะชัยฏอนมันตี ) ยกเว้น ท่านหญิงมัรยัมและลูกชายของนาง (ก็คือ ท่านนบีอีซา อะลัยฮิสสลาม ที่จะไม่ถูกชัยฏอนตี )”
ดังนั้น เมื่อเวลาที่ทารกคลอดออกมา พ่อของทารกหรือผู้ใหญ่จึงควรอะซานใกล้ ๆทารก เพื่อขับไล่ชัยฏอน เพราะชัยฏอนมันกลัวเสียงอะซาน
ช่วงเวลาที่สาม คือช่วงเวลาเย็นใกล้หัวค่ำจนกระทั่งถึงช่วงระยะเวลาของมัฆริบ เป็นช่วงเวลาที่ชัยฎอนมันจะกระจายอยู่รอบ ๆทั่วบริเวณ
อัลหะดีษในบันทึกของอิมามมุสลิม รายงานจากท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุเล่าว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวความว่า
“ท่านทั้งหลายอย่าปล่อยเด็ก ๆ ของพวกท่านออกมาในขณะที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า จนถึงช่วงเริ่มระยะเวลาอิชาอฺ เพราะแท้จริง ชัยฏอนมันกำลังกรูกันออกมา”
ดังนั้น เราจึงต้องเข้าบ้านและต้องเรียกเด็ก ๆให้เข้าบ้าน แล้วก็ปิดประตูบ้าน ปิดหน้าต่าง หรือปิดมุ้งลวดเสีย เพราะแท้จริง ชัยฏอนมันไม่สามารถเปิดประตูที่ถูกปิดได้
ช่วงเวลาที่สี่ ช่วงเวลาของการละหมาด … เมื่อเวลาที่ชัยฏอนมันได้ยินเสียงอะซาน มันก็จะหนีออกไปไกล ๆจนไม่ได้ยินเสียงอะซาน
อัลหะดีษในบันทึกของอิมามอัลบุคอรีย์ รายงานจากท่านอะบูหุรอยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุเล่าว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวความว่า
“เมื่อมีการเชิญชวนไปสู่การละหมาด ( อะซาน ) ชัยฏอนมันจะหนีไปไกล ๆจนไม่ได้เสียงอะซาน…”
หลังจากนั้นพออะซานเสร็จ มันก็จะกลับมาอยู่ใกล้ ๆเรา แล้วก็เริ่มงานของมัน มันจะมาคอยกระซิบเรา ทำนั่นสิ ทำนี่สิ ดูทีวีสิ เล่นเกมส์ให้จบก่อนสิ หิวแล้วกินข้าวก่อนสิ จนในท้ายที่สุด ทำให้เราไปละหมาดช้า หรืออาจจะทำให้เลยเวลาละหมาดไปแล้วก็ได้
สำหรับในช่วงที่เรากำลังละหมาดนั้น ท่านนบีบอกว่าจะมีชัยฏอนกลุ่มหนึ่งชื่อว่า ค็อนซับ خَنْزَبٌ มันจะมาคอยกระซิบให้เรานึกถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องที่ไม่เคยนึกคิดมาก่อน ก็มานึกได้ตอนที่กำลังละหมาดนี่แหละ คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้จนบางทีเราก็ลืมไปแล้วว่าเราละหมาดไปกี่เราะกะอะฮฺ
อัลหะดีษในบันทึกของอิมามอัลบุคอรีย์ รายงานจากท่านอะบูหุรอยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุเล่าว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวความว่า
“ชัยฏอนมันจะอยู่กับคน ๆหนึ่ง(ที่กำลังละหมาด) แล้วกระซิบกระซาบให้เขานึกถึงสิ่งที่เขาไม่เคยนึกถึงมาก่อน จนกระทั่ง เขาไม่รู้ว่า เขาละหมาดไปแล้วกี่เราะกะอะฮฺ”
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานของชัยฏอนที่เราทุกคนน่าจะประสบกันมาแล้ว ดังนั้น ก่อนละหมาดเราจึงควรอะซาน เพื่อไล่ชัยฏอนให้มันหนีไปไกล ๆ มันจะได้ไม่มายุ่งกับเรา เพราะชัยฏอนมันกลัวเสียงอะซานนั่นเอง
ช่วงเวลาที่ห้า ก็คือช่วงเวลาของการนอนหลับในยามค่ำคืน อาจมาในรูปของการฝันร้าย ซึ่งฝันร้ายนี้ ท่านนบีบอกว่าเป็นฝีมือของชัยฏอน มันจึงทำให้จิตใจของคนที่ฝันหวั่นกลัว
อัลหะดีษในบันทึกของอิมามอัลบุคอรีย์ รายงานจากท่านอะบูเกาะตาดะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุเล่าว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวความว่า
“การฝันร้ายนั้นมันมาจากชัยฏอน”
เมื่อเราตื่นจากการฝันร้ายจึงให้เราพ่นเบา ๆไปทางซ้ายสามครั้ง แล้วอ่านอิสติอาซะฮฺ ก็คืออ่าน อะอูซุบิลลาฮิมินัชชัยฏอนิรเราะญีม…แล้วเราอย่าได้เล่าเกี่ยวกับฝันร้ายให้ใครฟัง
สำหรับในช่วงเวลาก่อนที่เราจะตื่นนอนนั้น จะมีช่วงเวลาที่ชัยฏอนมันจะปัสสาวะเข้ามาในหูของเรา จนทำให้เรารู้สึกอยากนอนต่อ แล้วก็ไม่อยากลุกขึ้นมาละหมาดศุบฮฺ
อัลหะดีษในบันทึกของอิมามอัลบุคอรีย์ รายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ บินมัสอู๊ด เราะฎิยัลลอฮุอันฮุเล่าว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวความว่า
“..ชัยฏอนมันได้ปัสสาวะใส่หูของคนนั้นแล้ว..”
สำหรับในช่วงที่เรากำลังหลับ ชัยฏอนมันก็จะมาผูกปมที่ผมบนศีรษะของเรา
อัลหะดีษในบันทึกของอิมามอัลบุคอรีย์ รายงานจากท่านอะบูหุรอยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุเล่าว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวความว่า
“ชัยฏอนมันจะผูกปมที่ศีรษะของคนที่กำลังนอนหลับไว้สามปม ซึ่งแต่ละปมที่มันผูกไว้นั้น มันจะบอกว่า เวลาค่ำคืนยังอีกยาวนาน นอนต่อไปเถิด ..แต่เมื่อเราตื่นขึ้นมา แล้ว-เราอ่านดุอาอ์ตอนตื่นนอน ปมอันแรกมันก็ถูกคลี่ไป …แล้วหลังจากนั้น เราลุกไปอาบน้ำละหมาด ปมที่สองก็จะถูกคลี่ไป ..แล้วพอเราไปละหมาด ปมที่สามก็จะถูกคลี่จนหมด”
ดังนั้น ก่อนล้มตัวลงนอน ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมสอนเราให้เราอ่านอายะฮฺกุรซีย์ แล้วก็อ่านซูเราะฮฺอัลอิคลาศ ซูเราะฮฺอัลฟะลัก ซูเราะฮฺอันนาส ซูเราะฮฺละสามจบ โดยให้เรายกมือทั้งสอง แล้วเป่าลมไปที่ฝ่ามือทั้งสองแล้วอ่านซูเราะฮฺทั้งสามนั้น แล้วเอามือทั้งสองนั้นลูบไปที่ศีรษะ ใบหน้าและลำตัว เพื่อป้องกันการแทรกแซงของชัยฏอนในช่วงที่เรากำลังนอนหลับ เพราะถ้าเรากระทำดังกล่าว ชัยฏอนมันจะไม่เข้าใกล้เราจนกระทั่งเวลาเช้า
ช่วงเวลาที่หก ที่นักวิชาการบอกว่าเป็นเวลาทองของชัยฏอนที่มันชอบที่จะมาล่อลวงเราก็คือ ช่วงเวลาที่เราโกรธ ซึ่งอารมณ์โกรธนั้น ท่านนบีบอกว่า มันมาจากการกระซิบกระซาบของชัยฏอน
ดังนั้น เราต้องพยายามควบคุมตัวเรา พยายามอย่าโกรธ …แต่ถ้าเราโกรธไปแล้ว ถูกชัยฏอนมันล่อลวงไปแล้ว ก็ให้เราอ่านอิสติอาซะฮฺ ก็คืออ่าน อะอูซุบิลลาฮิมินัชชัยฏอนิรเราะญีม
อัลหะดีษในบันทึกของอิมามอัลบุคอรีย์ รายงานจากท่านสุลัยมาน บินศุร็อด เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ عنه رضي الله-سليمان بن صُرَدٍ عن ได้เล่าว่า ขณะที่ตัวท่านกำลังนั่งอยู่กับท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมนั้น มีชายสองคนกำลังถกเถียงกัน หนึ่งในสองคนนั้นกำลังโกรธจนทำให้ใบหน้าของเขาแดง ท่านนบีจึงได้กล่าวความว่า
” ฉันได้รู้ถึงคำหนึ่งที่ถ้าหากชายคนที่โกรธนั้นได้อ่านมัน แน่นอนความรู้สึกโกรธก็จะหายไป …คำนั้นก็คือ
أعوذُ باللهِ مِن الشَّيطانِ الرَّجيمِ อะอูซุบิลลาฮิมินัชชัยฏอนิรเราะญีม
ฉันขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺให้พ้นจากการล่อลวงของชัยฏอนที่ถูกสาปแช่ง”
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย นั่นก็คือเรื่องราวเพียงบางส่วนของชัยฏอน ที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงบอกให้เราจัดลำดับมันให้เป็นศัตรูตลอดกาลของเรา นั่นก็หมายความว่า ให้เราระมัดระวังตัวเรา อย่าตกอยู่ในการล่อลวงหลอกล่อของมัน ให้เราพยายามเอาชนะมันให้ได้
ซึ่งการที่เราจะสามารถเอาชนะมันได้นั้น เราก็ต้องรู้จักมัน รู้จักวิธีการของมัน รู้จักแผนการของมัน รู้ถึงแนวทางการล่อลวงของมัน แล้วก็รู้ถึงวิธีการป้องกันและวิธีการที่สามารถที่จะเอาชนะชัยฏอนมันให้ได้ ตามวิธีการที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาและเราะซูลของพระองค์ได้แนะนำไว้ ก็ขอให้เราได้พยายามยึดมั่น พยายามปฏิบัติตามในแนวทางที่ถูกต้อง เพื่อที่เราจะได้ไม่หลงไปอยู่ในแนวทางของชัยฏอน เพราะแท้จริง อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ตรัสเน้นย้ำไว้ในอัลกุรอาน ในซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 208 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
وَلَا تَتَّبِعُوا خُطُوَاتِ الشَّيْطَانِ ۚ إِنَّهُ لَكُمْ عَدُوٌّ مُّبِينٌ
“….อย่าได้ปฏิบัติตามแนวทางของชัยฏอน เพราะแท้จริง มันเป็นศัตรูอันชัดเจนของพวกเจ้า”
สุดท้ายนี้ ขออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาโปรดให้เราเป็นผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาอย่างแท้จริง ..
โปรดให้เราเป็นผู้เชื่อฟังและปฏิบัติตนอยู่ในขอบเขตของบทบัญญัติศาสนาของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ..
โปรดให้เราเป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในแบบฉบับของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม..
ขอพระองค์โปรดคุ้มครองเรา โปรดให้เรารอดพ้นจากการถูกล่อลวงของชัยฏอน ศัตรูตลอดกาลของเรา ..
และขอพระองค์โปรดให้เราเสียชีวิตในฐานะผู้ที่นอบน้อมยอมจำนนต่อพระองค์โดยสิ้นเชิง
อามีน
( คุฏบะฮฺวันศุกร์ มัสญิดดารุลอิหฺซาน บางอ้อ )