“เวลาเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา การพูดว่า ‘ฉันไม่มีเวลา’ เหมือนกับการพูดว่า ‘ฉันไม่ต้องการ’ คุณรู้หรือไม่ว่าส่วนใหญ่คนมักประเมิน เกินถึงสิ่งที่ทำได้ในหนึ่งวัน และประมาณค่าสิ่งที่ทำได้ในหนึ่งปี ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น? สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ แต่คุณรู้ไหม? กลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จเพียง ไม่กี่เปอร์เซ็นต์บนโลกมีแนวคิด และแนวทางปฏิบัติตามหลักทั่วไปข้างต้นนี้อย่างไร ให้สำเร็จอย่างสง่างามและมีกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม
ความลับคืออะไร?
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้มีเวลาในหนึ่งวัน เพิ่มมากกว่าคนปกติเลย แต่พวกเขาเรียนรู้ศิลปะการใช้เวลาอย่างคุ้มค่า และโฟกัสกับคุณภาพ มากกว่าปริมาณ และเลือกเรียนรู้จากประสบการณ์อย่างชาญฉลาด พวกเขาเรียนรู้ว่าจะทำสิ่งต่าง ๆ
ให้ถูกต้องด้วยวิธีการที่ง่ายดาย ไม่ใช่แค่ทำสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่สนวิธีการ และนี่คือประโยคที่แชร์โดยผู้เขียน
1. พวกเขาโฟกัสกับนาทีไม่ใช่ชั่วโมง
คุณรู้หรือไม่ว่าในช่วงเวลา 5 นาที Usain Bolt (ยูเซน โบลต์) สามารถแข่งขันจนชนะ และ Elon Musk (อีลอน มัสก์) อ้างว่าเขาสามารถ ส่งอีเมลเพื่อเปลี่ยนทิศทางของ SpaceX ได้ ทีนี้คุณลองดูว่าระยะเวลา 5 นาที ของคุณถูกใช้ไปอย่างไร
Stephen R. Covey (สตีเฟน โคเวย์) นักเขียนชื่อดัง ผู้เขียนหนังสือ The 7 Habits of Highly Effective People อ้างว่า “สิ่งที่สำคัญไม่ใช่การกำหนดลำดับความสำคัญของงาน ในตารางของคุณ แต่คือการจัดตารางสำหรับงาน ตามความสำคัญที่คุณกำหนด” คนที่ประสบความสำเร็จมีสามารถทำตามสิ่งที่ว่านี้ และประยุกต์ไปกับงานอื่น ๆ ได้ โดยไม่หมดเวลาหลายชั่วโมงไปกับงานที่ไม่สำคัญ แต่เห็นสิ่งที่สำคัญที่ควรทำให้เสร็จในเวลาเพียงไม่กี่นาที
ลองดูเคสนี้ ถ้าคุณมีเวลาว่างอีก 3 นาทีหลังจากสายโทรศัพท์ แทนที่จะเล่นมือถือ ดูอะไรเรื่อยเปื่อยใน Social Media
คุณลองตอบอีเมล หรือจดไอเดียสำหรับโครงการถัดไป ของคุณแทนจะดีไหม? ลองคิดถึงผลลัพธ์ ของการใช้เวลาแบบนี้ตลอดวัน สัปดาห์และเดือน ที่จะถึงนี้ดูสิ
นี่คือเคล็ดลับ ! – เริ่มวันของคุณโดยใช้วิธี “5 Minutes Blocks” ใช้ Blocks เหล่านั้นอย่างฉลาด และดู Productivity
ของคุณที่เพิ่มขึ้น ! ลองเปลี่ยนชุดความคิดที่ถูกเข้าใจผิด ๆ นี้ดูสิ … หลายคนคิดว่า ถ้ากำหนดเวลาให้กับงาน ๆ หนึ่ง โดยคิดว่า “ฉันจะทำงานนี้โดยใช้เวลาหลายชั่วโมง” นั้นมีประสิทธิภาพมากกว่า “ฉันจะทำงานนี้โดยใช้เวลา 5 นาที” อย่าลืมว่าคนที่ประสบความสำเร็จและยุ่งที่สุดนั้นใช้วิธีไหน เวลาไม่กี่นาทีนั้นมีคุณค่ามากนะ
ตอนนี้คุณใช้เวลาว่างไม่กี่นาทีของคุณอย่างไร?
ถึงมันจะไม่เสร็จใน 5 นาที แต่ถ้าคุณลองหาวิธีร่นระยะเวลา ในงานของคุณได้ คุณจะใช้เวลาลดลงมากเลยนะ
2. พวกเขาสร้างรายการสิ่งที่ต้องทำเพื่อความสำเร็จโดยเร็ว
คุณรู้หรือไม่ว่า 41% ของงานในรายการสิ่งที่ต้องทำ ไม่เคยถูกทำจนสำเสร็จ ! นั่นเกือบครึ่งเชียวนะ … ทั้งนี้คือความแตกต่างระหว่างผู้ที่ติ๊กว่างานใน List เสร็จ และคนที่ List ส่วนใหญ่ไม่เคยถูกติ๊ก Tim Ferriss (ทิม เฟอร์ริส) ผู้เขียนขายดีของ The 4-Hour Workweek บอกไว้ว่า “การทำตัวยุ่งนั้นเป็นหนึ่งในการแสดงถึงความขี้เกียจ” คนที่ประสบความสำเร็จไม่เพียงแค่ทำตัวยุ่งเฉย ๆ แต่พวกเขากำลังโฟกัสในทุกอย่างที่ทำอย่างตั้งใจ แทนที่พวกเขาจะสร้างรายการสิ่งที่ต้องทำที่ยาวเหยียด พวกเขาจัดรายการที่สั้นและอิมแพคมากกว่า
นี่คือความแตกต่าง –
คำสั่งที่ไม่ดี :
“ทำรายงานให้เสร็จภายใน 11 โมง”
– แล้วมีการแก้อีกหลายครั้ง
คำสั่งที่ชัดเจนและมีโครงสร้าง :
“ร่างส่วนเกริ่นนำรายงานภายใน 11 โมง”
นี่คือวิธีการง่าย ๆ สำหรับการเริ่มต้น –
ลำดับความสำคัญ :
ไม่ใช่ทุกงานที่มีความสำคัญเท่ากัน เลือก 3 งานที่สำคัญที่สุดที่สอดคล้อง กับเป้าหมายของคุณที่สุด
ชัดเจนในรายละเอียด กำหนดว่างานนั้นมีรายละเอียดว่า ต้องทำอะไรและตั้งกำหนดเสร็จที่ชัดเจน
ทบทวนสิ่งที่ทำเสร็จไปแล้ว เมื่อจบวัน ทบทวนและปรับวิธีการสำหรับวันถัดไป
ลองเปลี่ยนชุดความคิดที่ถูกเข้าใจผิด ๆ นี้ดูสิ … มีชุดความคิดที่ผิดว่ารายการสิ่งที่ต้องทำที่ยาวนั้น แปลว่าคุณทำงานได้มากขึ้น แต่ความจริงแล้ว การมีรายการสิ่งที่ต้องทำที่สั้น และทำให้ทุกอย่างสำเร็จ นั้นจะดีกว่าไหม?
ดังนั้น ลองคิดทบทวนสิ่งนี้ดู … ระหว่างเขียนรายการสิ่งที่ต้องทำเฉย ๆ หรือเขียนรายการสิ่งที่ทำแล้วสำเร็จ ดี และเร็ว แบบไหนจะดีกว่ากันนะ ?
3. พวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องสร้างล้อใหม่
คุณรู้หรือไม่ ? ว่า 90% ของธุรกิจที่เริ่มต้นใหม่ ล้มเหลวในปีแรกของพวกเขา และสาเหตุไม่ใช่เพราะขาดความพยายาม
แต่เป็นเพราะพวกเขายืนยันว่า จะทำทุกอย่าง เริ่มจาก 0 ด้วยตัวเอง Isaac Newton (ไอแซก นิวตัน) เคยพูดไว้ว่า –
“ถ้าฉันเห็นไกลขึ้น นั่นเป็นเพราะว่า ฉันยืนอยู่บนไหล่ของยักษ์”
บุคคลที่ประสบความสำเร็จระดับสูงเข้าใจข้อความนี้ดี
พวกเขาเข้าใจว่าการใช้ ความรู้ กลยุทธ์
และแนวทางการแก้ปัญหาที่มีอยู่แล้ว
จะเป็นตัวกระตุ้นเพื่อความความสำเร็จที่รวดเร็วกว่า
ลองถามตัวเองดูว่า …
ทำไมต้องเริ่มต้นใหม่?
สามารถปรับแก้แนวทางที่มีอยู่แล้ว
ให้เหมาะกับความต้องการของคุณได้หรือไม่?
ใครเคยเดินเส้นทางนี้มาบ้าง?
ความรู้ของพวกเขาสามารถ
เอามาใช้เพื่อเป็นทางลัดให้คุณได้หรือไม่?
สามารถปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่แล้วสิ่งไหนได้บ้าง?
แทนที่จะทำทุกอย่างขึ้นมาเองใหม่
สามารถปรับปรุงสิ่งไหนที่มีอยู่แล้ว
ให้ต่อยอดขึ้นไป และดีขึ้นได้หรือไม่?
และนี่คือเคล็ดลับหากคุณไม่อยากจบด้วยการ
เป็นบริษัท 90% นั้นที่ต้องปิดตัวลง …
วิจัยก่อน – ก่อนที่จะเริ่มทำโครงการ
ลองดูว่าใครเคยศึกษาหรือวิจัยสิ่งที่คล้ายกันหรือไม่
ขอความร่วมมือกับคนที่เชี่ยวชาญ –
อย่ากลัวที่จะค้นหาคำแนะนำ
หรือร่วมงานกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
ปรับตัวเรียนรู้จากบทเรียน –
ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ที่ได้รับการยืนยัน
เพื่อให้เข้ากันกับเป้าหมาย
และสถานการณ์ที่เฉพาะตัวของคุณ
มีชุดความคิดที่ผิดอยู่ว่า …
การที่จะสำเร็จอย่างโดดเด่นต้องคิดนอกกรอบอยู่เสมอ
แต่บางครั้ง ภายในกรอบนั้น อาจจะมีสิ่งที่คนเรียนรู้มาแล้ว
ให้เราใช้เพื่อประยุกต์และต่อยอดไปสู่ความนอกกรอบได้อยู่นะ
ลองเปลี่ยนชุดความคิดที่ถูกเข้าใจผิด ๆ นี้ดูสิ …
แทนที่การคิดนอกกรอบเองใหม่ทั้งหมด
เปรียบได้กับคุณจะสร้างรถยนต์แล้วคิดร่างล้อใหม่
หรือคุณจะใช้สิ่งที่มีอยู่อย่างชาญฉลาด
เพื่อความสำเร็จที่เร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เปรียบเหมือนคุณใช้ล้อที่มีคนคิดไว้อยู่แล้ว
มาต่อยอดสร้างเป็นรถยนต์นั่นเอง
4. พวกเขาพูด “ไม่” เกือบทุกสิ่ง
เคยสงสัยว่า ทำไม Warren Buffett (วอร์เรน บัฟเฟตต์) หนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จระดับโลก
ถึงกล่าวขอบคุณความสำเร็จของเขา ต่อการพูด “ไม่” หรือไม่?
“ความแตกต่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จ และคนที่เป็นประสบความสำเร็จจริง ๆ คือ คนที่ประสบความสำเร็จจริง ๆ
พูด ‘ไม่’ กับเกือบทุกสิ่ง”
– Warren Buffett (วอร์เรน บัฟเฟตต์)
น่าทึ่งใช่ไหม? แต่นี่คือความคิดในมุมมอง :
ในขณะที่ส่วนใหญ่กำลังยุ่งกับการพูด “ได้” ในทุก ๆ โอกาส คนที่ประสบความสำเร็จสุด ๆ คัดกรองอย่างรอบครอบ คำพูดของ Steve Jobs (สตีฟ จ็อบส์) ผู้มีวิสัยทัศน์ และอยู่ข้างหลังความสำเร็จของ Apple “คนคิดว่าการโฟกัสหมายถึงการพูด “ได้” กับสิ่งที่คุณต้องโฟกัส แต่มันไม่ใช่ความจริง มันหมายถึงการพูด “ไม่” ต่อไอเดียดี ๆ นับร้อย ๆ”
ลองคิดสิ่งนี้ดูดี ๆ –
ทุกโอกาสคือโอกาสทองคำ หรือเพียงแค่ความฟุ้งซ่านที่อลังฯ
โอกาสที่เข้ามานี้ตรงกับเป้าหมายหลักของฉันหรือไม่ หรือมันกำลังดึงฉันออกไปจากเป้าหมายหลัก
การพูด “ได้” ในครั้งนี้มีอะไรที่ต้องเสีย ?
ฉันกำลังเสียสิ่งที่มีค่ามากกว่าหรือไม่ ?
ทำให้มันมีประสิทธิภาพเข้าใจ การพูด “ได้” ทำให้รู้สึกดี มันทำให้เรารู้สึกว่า เราทำงานได้สำเร็จ และเป็นคนที่เป็นประโยชน์ แต่การพูด “ได้” ในบางครั้ง อาจทำให้ เสียเวลา พลังงาน และทรัพยากร
และคนที่ประสบความสำเร็จจริง ๆ พวกเขามีการปกป้องทรัพยากรเหล่านี้อย่างแนบแน่น พวกเขาเข้าใจว่าสำหรับทุกครั้งที่พวกเขาพูด “ได้” พวกเขาอาจจะกำลังพูด “ไม่” ต่อสิ่งที่อาจจะมีความส่งผลมากกว่า ทีนี้ มีมุมมองหนึ่งที่ท้าทายให้ครุ่นคิด
มีความเชื่อที่คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่า เพื่อขึ้นบันไดความสำเร็จ คุณต้องยอมรับทุกโอกาสที่เข้ามาเสมอ
แต่ลองถามตัวเองดู … การยอมรับโดยไม่คำนึงถึงว่าสิ่งที่เลือกนั้น จะส่งผลอย่างไรจริง ๆ มีเค้าลางแห่งความสำเร็จหรือไม่
หรือมันเพียงแค่ทำให้คุณทำงานหนักขึ้น และทำให้คุณหดหู่ในภายหลังกับสิ่งที่เกิดผลตามมา?
คุณกำลังเพิ่มสิ่งที่ทำแล้วอิมแพคกับเป้าหมายของคุณ โดยการตอบรับโอกาส หรือคุณกำลังจมอยู่กับความรับผิดรับชอบ
ที่เกิดจากการตอบรับโอกาสจากคลื่นทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุด ของการตอบว่า “ได้”?
5. พวกเขาปฏิบัติตามกฎ 80/20
คุณเคยรู้สึกว่างานบางงานของคุณ เพียงคุณทำเพียงเล็กน้อยก็อิมแพ็ค และสร้างผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดหรือไม่?
คุณไม่ได้เจอสถานการณ์นี้คนเดียว … ปรากฏการณ์นี้แพร่หลายจนมีชื่อเสียง บ้างก็เรียก Pareto Principle
หรือ หลักการ 80/20 อย่างทั่วไปเป็นที่รู้จักกัน
นักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาลี
Vilfredo Pareto (วิลเฟรโด พาเรโต) สังเกตว่า 80%
ของพื้นดินในประเทศอิตาลีเป็นเจ้าของโดย 20% ของประชากร
สัดส่วนนี้พบว่ามีการใช้ในบริบทที่แตกต่างกัน :
80% ของผลลัพธ์มักมาจากการลงแรงเพียง 20%
ผู้ประสบความสำเร็จระดับสูง เข้าใจและใช้หลักการนี้ พวกเขาคิดว่านี่คือสัดส่วนเมื่อลงแรงแล้ว จะเกิดผลที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด แล้วพวกเขาจึงรวบรวมพลังงานเพื่อลงไปกับ งานส่วนนั้ินเพื่อเกิดผลลัพธ์สูงสุด
ดังนั้นเพื่อจะลองใช้กฎ 80/20 เริ่มจากการวิเคราะห์กิจกรรมปัจจุบันของคุณ ระบุงานหรือโครงการใดที่สร้างมูลค่าหรือผลลัพธ์มากที่สุด เริ่มให้ความสนใจและใช้ทรัพยากรที่มีในการขยายกิจกรรม ที่มีอิมแพ็คสูงเหล่านี้ ในขณะที่ลดกิจกรรมที่มีอิมแพ็คน้อย
ตีกรอบ รีวิว และการปรับแต่ง วิธีการที่ใช้ ในแต่ละระยะช่วงเวลา ตรวจสอบ และปรับปรุง เพื่อการทำงานที่ดีขึ้น และเพื่อเพิ่มผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในทุก ๆ ครั้ง
แต่นี่คือสถานการณ์ที่หลาย ๆ คนติดอยู่ และไม่สามารถข้ามผ่านไปได้ มีชุดความคิดที่หลาย ๆ คนเข้าใจว่า ความสำเร็จ คือ เกี่ยวกับทำมากขึ้น การที่ต้องยุ่งทุกช่วงเวลา และการต้องเร่งรีบอยู่ตลอด แต่ความจริงแล้วความสำเร็จที่แท้จริง นั้นหมายถึง การทำที่เพิ่มคุณภาพ และลดปริมาณลง แต่ผลลัพธ์นั้นต้องออกมาดีเป็นพิเศษ
ลองถามตัวคุณเองด้วยคำถามนี้ว่า … ระหว่างการที่ทำงานเน้นแต่ปริมาณ มีสิ่งที่ต้องทำเต็มไปหมด หรือ การที่คุณโฟกัสแค่สิ่งที่จำเป็นจริง ๆ ที่ส่งผลต่อความสำเร็จจริง ๆ ของคุณ โดยใช้ความพยายามเพียง 20% แบบไหนจะดีกว่า …
แปลโดย ทีมงาน THE INSIDER
Reference :
- https://medium.com/change-your-mind/how-ultra-successful-people-get-it-done-dffb553ac87c
- https://www.facebook.com/photo/?fbid=160069400510406&set=a.128696736981006