เอลอน มัสก์ (Elon Musk) เป็นนักวิจัยและนักธุรกิจชาวอเมริกันที่มีบทบาทสำคัญในหลายอุตสาหกรรม เขาเกิดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1971 ในประเทศประเทศใต้แอฟริกา (South Africa) และเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกาเมื่อหลังจากที่ย้ายมาที่นี่ในตอนวัยรุ่น
นี่คือสรุปเรื่องราวชีวิตของ Elon Musk:
- ก่อตั้ง PayPal: ในต้นปี 2000 Musk ร่วมก่อตั้งบริษัท X.com ที่ในภายหลังกลายเป็น PayPal บริษัทการชำระเงินออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในยุคนั้น ในปี 2002 PayPal ถูกซื้อโดย eBay ในราคา 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้ Musk ได้รับผลกำไรมากมายจากการขายนี้.
- บริษัท SpaceX: ในปี 2002, มัสก์ก่อตั้ง SpaceX (Space Exploration Technologies Corp.) ซึ่งเป็นบริษัทที่มุ่งหวังในการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางสู่อวกาศและเป้าหมายหลักคือการทำให้มนุษย์สามารถอยู่ในพื้นที่นอกโลกได้ บริษัทนี้ได้ผลงานดีมากเช่นการส่งพาหนะสู่อวกาศ การลดค่าใช้จ่ายในการขึ้นอวกาศ และการเปิดตัว Starship ซึ่งเป็นระบบขนส่งมนุษย์ที่ว่างเปล่าที่สามารถขนส่งคนไปยังดาวอื่น.
- บริษัท Tesla: Musk เข้าร่วม Tesla, Inc. เมื่อปี 2004 และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสำคัญ บริษัทนี้ก่อตั้งโดย Martin Eberhard และ Marc Tarpenning แต่ Musk เข้ามาเรียกคืนเสียงและระดมทุนเพื่อช่วยบริษัทในช่วงต้นๆ โดย Tesla เน้นการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและการทำให้การขับขี่อัตโนมัติกลายเป็นจุดเด่น.
- บริษัท The Boring Company: Musk ก่อตั้ง The Boring Company เพื่อแก้ปัญหาการจราจรที่ติดขัดในเมือง บริษัทนี้มุ่งสร้างระบบทางใต้ดินสำหรับรถขับเองและขนส่งสาธารณะในระดับพื้นที่.
- บริษัท Neuralink: Neuralink เป็นบริษัทที่ Musk ก่อตั้งเพื่อศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีการเชื่อมต่อสมองคนกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีศักยภาพในการแก้ปัญหาการสูญเสียสมองและพัฒนาสมองมนุษย์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ Musk ยังมีบทบาทในโครงการ Hyperloop ซึ่งเป็นระบบขนส่งที่ใช้ความดันของอากาศในท่อสู่ความเร็วสูง และเขายังมีบทบาทในการสนับสนุนการพัฒนาพลังงานสะอาดและการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่าน Tesla และ SolarCity.
Elon Musk เป็นบุคคลที่มีผลงานมากมายและมีผลกระทบต่อหลายอุตสาหกรรม การมองตามสายเวลาจะช่วยให้คุณเห็นได้ว่าเขาได้รับความสำเร็จและเปลี่ยนแปลงโลกในหลายทาง
อาณานิคมในดาวดวงใหม่ โลกแห่งพลังงานสะอาด รถยนต์อัจฉริยะไร้คนขับ ไปจนถึงการเดินทางด้วยจรวด เหล่านี้คือไอเดียที่ถูกนำไปแต่งแต้มเป็นนิยายวิทยาศาสตร์มาแล้วทั้งสิ้น แต่บัดนี้เรื่องราวที่เราเคยได้แต่อ่านกันอย่างตื่นเต้นในนิยายกำลังเกิดขึ้นจริงจากมันสมองของชายที่มีชื่อว่า “อีลอน มัสก์” (Elon Musk)
Elon Musk นักอ่านหนังสือ
อีลอน รีฟ มัสก์ (Elon Reeve Musk) เกิดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1971 ในประเทศแอฟริกาใต้ คำว่า Elon ในภาษาฮิบรูแปลว่า “ต้นโอ๊ก” พ่อของเขาเป็นวิศวกรอิเล็กทรอนิกส์ที่ประสบความสำเร็จ ส่วนแม่เป็นนางแบบลูกครึ่งแคนาดา-อเมริกัน อีลอนมีน้องชาย 1 คนชื่อ คิมบาล มัสก์ และมีน้องสาว 1 คนชื่อ ทอสก้า มัสก์
แม้อีลอนจะเกิดในครอบครัวที่เพียบพร้อม แต่ชีวิตวัยเด็กของเขาก็ไม่สดใสนัก เขาไม่ค่อยลงรอยกับพ่อเท่าไหร่ หลังจากพ่อกับแม่เขาแยกทางกัน อีลอนก็ยังเลือกอยู่กับพ่อเพราะอยากอยู่เป็นเพื่อนพ่อ เขาผ่านวัยเด็กอย่างยากลำบาก เพราะอยู่บ้านก็มีปัญหากับพ่อ พอไปโรงเรียนก็เจออีกปัญหา อีลอนชอบเข้าไปแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ของเพื่อน ในใจเขาคิดแค่ว่ากำลังช่วยเพื่อนอยู่ แต่เพื่อนของเขากลับมองว่า “อีลอนชอบอวดเก่ง” และมักแกล้งอีลอนอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งเขาเคยโดนแกล้งหนักถึงกับบาดเจ็บจนต้องหยุดโรงเรียนไปเป็นอาทิตย์เลยทีเดียว
วิธีที่เด็กอย่างอีลอนใช้หนีจากเรื่องแย่ๆ พวกนี้ก็คือ “กระโดดเข้าไปสู่โลกแห่งหนังสือ”
อีลอนชอบอ่านหนังสือมาก เขาชอบไปห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนิยายหรือสารานุกรมเล่มหนาเป็นตั้งอย่าง Britannica ก็ตาม ความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งของอีลอนก็คือ เขามีความจำเป็นเลิศ เขาจำได้แม้กระทั่งเนื้อหาในสารานุกรม!
ช่วงนี้เองที่อีลอนได้พบกับหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเขาบอกว่ามีอิทธิพลต่อเขามากที่สุด หนังสือเล่มนั้นเป็นนิยายแนวไซไฟตลกสุดบ้าบอเรื่อง The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy [1] ซึ่งเล่าเรื่องราวการผจญภัยในอวกาศของอาร์เธอร์กับเพื่อนชาวต่างดาวของเขา หนังสือเล่มนี้สอนให้อีลอนรู้ว่า
“การตอบคำถามนั้นง่าย แต่การตั้งคำถามที่เหมาะสมนั้นยากเอาการทีเดียว”
อีลอนอ่านหนังสือทุกประเภท เขาชอบอ่านนิยายไซไฟ ปรัชญา และชีวประวัติบุคคลทั้งนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร ไปจนถึงนักลงทุนชื่อดัง พอเขาโตขึ้นก็เริ่มไปสนใจอ่านเกี่ยวกับฟิสิกส์ การออกแบบผลิตภัณฑ์ ธุรกิจ เทคโนโลยี และพลังงาน ความกระหายความรู้นี้เองที่ช่วยให้เขาได้เปรียบด้านข้อมูลและคิดต่างไปจากเด็กๆ คนอื่นในโรงเรียน (เทคนิคการเรียนรู้ของอีลอนนั้นน่าทึ่งมาก ซึ่งคุณสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากบทความ “คิดยังไง ให้ได้อย่างอีลอน มัสก์”)
ตอนเรียนมัธยมปลาย อีลอนเริ่มมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ เขาฝันถึงความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ พลังงานสะอาดของโลก และการออกไปตั้งอาณานิคมนอกโลก แต่ความฝันของเขาไม่มีทางเป็นความจริงได้เลย ถ้าเขายังมีความรู้และเงินไม่มากพอ
สู่การเป็นผู้ประกอบการมืออาชีพ
ด้วยความจำอันเป็นเลิศและรักการอ่านกว่าใคร อีลอนจึงเรียนรู้ทักษะต่างๆ ได้ไวมาก ตอนอีลอนอายุ 12 ปี เขาก็สามารถเขียนโปรแกรมง่ายๆ เองได้แล้ว อีลอนเขียนเกมชื่อว่า Blaster ซึ่งเขาขายมันแลกกับเงิน 500 ดอลลาร์ เรียกได้ว่าอีลอนฉายแววผู้ประกอบการมาตั้งแต่ยังเด็กเลยทีเดียว
ชีวิตของอีลอนต้องพลิกผันอีกครั้งเมื่อเขาอายุ 17 ปี เขาก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่อยากอยู่ได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง อีลอนจึงตัดสินใจย้ายไปอยู่กับญาติของแม่ที่เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา ที่นี่เองเขาต้องทำงานหลายอย่างแม้กระทั่งเป็นพนักงานทำความสะอาดก็ตาม
หลังจากอีลอนเรียนที่มหาวิทยาลัยควีนส์ได้ 2 ปี เขาก็มีโอกาสย้ายไปอยู่ที่อเมริกา อีลอนได้ทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ที่นี่เองทำให้เขาสนิทกับเพื่อนที่เรียนฟิสิกส์ด้วยกันมากขึ้น และได้พบกับเพื่อนอีกคนที่ไม่ใช่แค่เพื่อนเรียน แต่คุยกันเรื่องเงินได้ด้วยอย่างอาดีโอ เรสซี่
ครั้งหนึ่งอีลอนและอาดีโอเคยก่อวีรกรรมสุดแสบราวกับหลุดออกมาจากโลกแห่งฮอลลีวูด เมื่ออีลอนกับอาดีโอตัดสินใจเปิดบ้านเช่า 14 ห้องนอนของพวกเขาให้เหล่านักศึกษามาจัดปาร์ตี้กินดื่มกันอย่างสุดเหวี่ยง โดยคิดค่าเข้าแค่ 5 ดอลลาร์เท่านั้น! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ามีอยู่คืนนึงอีลอนกับอาดีโอทำเงินได้เยอะมาก ถึงขนาดจ่ายค่าเช่าบ้านได้ทั้งเดือนเลยทีเดียว!
หลังจากอีลอนเรียนจบสาขาฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย เขาก็เรียนด้านเศรษฐศาสตร์ต่อที่โรงเรียนธุรกิจวอร์ตัน จากนั้นอีลอนก็เรียนต่อปริญญาเอกมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในย่านธุรกิจชั้นนำอย่างซิลิคอนวัลเลย์ แต่เขากลับไปเรียนได้แค่ 2 วันก็ลาออก ตอนนี้การเรียนไม่ใช่เป้าหมายของอีลอนอีกต่อไป เขาพร้อมก้าวเข้าสู่โลกแห่งธุรกิจแล้ว
ก่อตั้งสตาร์ทอัพ Zip2
ในปี 1995 อีลอนและคิมบาล น้องชายก็สร้างบริษัท Global Link Information Network ที่มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้คนค้นหาธุรกิจท้องถิ่นบนอินเทอร์เน็ตได้ เช่น ร้านพิซซ่าใกล้บ้านคุณ เป็นต้น
แต่อะไรๆ กลับไม่เป็นอย่างที่คิด ช่วงแรกอีลอนกับน้องชายตรากตรำทำงานหนักแต่ก็ยังขายไม่ออก ลูกค้าหลายรายปฏิเสธข้อเสนอ รายที่ “เหมือนจะ” ขายได้ก็กลับตอกหน้าพวกเขาว่า “อินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งที่โง่เง่าที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินเลย”
ด้วยทุนตั้งต้น 28,000 ดอลลาร์จากคุณพ่อบวกกับความมุ่งมั่นเกินร้อยของสองพี่น้องที่กินนอนในออฟฟิศอยู่นาน บริษัทแห่งนี้ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อมาเป็น Zip2 ก็ถูก Compaq ขอซื้อไปในเดือนกุมภาพันธ์ 1999 ในราคาถึง 307 ล้านดอลลาร์
ส่วนตัวอีลอนได้เงินส่วนแบ่งจากการขาย Zip2 ถึง 22 ล้านดอลลาร์ เขาปฏิเสธที่จะทำงานที่ Compaq ต่อและเดินหน้าทำโปรเจกต์ใหม่ อีลอนตัดสินใจจะเป็น CEO ที่ประสบความสำเร็จให้ได้
ภาพหายากเมื่อครั้ง Elon Musk เริ่มต้นทำสตาร์ทอัพตัวแรกอย่าง Zip2 (ขอบคุณภาพจาก Reddit.com)
Paypal คือ Gateway ชำระเงินออนไลน์อันดับต้นๆของโลก
ตามแบบฉบับเศรษฐีหน้าใหม่ อีลอนนำเงินที่ขาย Zip2 ได้ไปซื้อรถสปอร์ตแมคลาเรน คอนโดมิเนียม และเครื่องบินลำเล็ก ส่วนเงินที่เหลือถูกนำไปลงทุนกับสตาร์ทอัพตัวใหม่ซึ่งเขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งด้วย
ในตอนนั้น คนแทบจะไม่อยากซื้อหนังสือออนไลน์ด้วยซ้ำ เรื่องแชร์ข้อมูลบัญชีธนาคารบนอินเทอร์เน็ตนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย แต่ด้วยการจับมือกับ Barclays บริษัทผู้ให้บริการด้านการเงินสัญชาติอังกฤษ อีลอนจึงสร้าง X.com ผู้ให้บริการการเงินออนไลน์แห่งแรกของโลกได้สำเร็จ ทั้งยังมีหน่วยงานประกันเงินฝากของรัฐบาล (FDIC) และกองทุนรวมอีก 3 กองทุนคอยสนับสนุน
ทุกอย่างเหมือนจะราบรื่นดี แต่อีลอนก็เจอตอเข้าอย่างจัง เพราะในตอนนั้นชายที่ชื่อ แม็กซ์ เลฟชิน และปีเตอร์ ธีล ก็มีบริการการเงินออนไลน์ที่ชื่อว่า Confinity อยู่เช่นกัน
X.com ของอีลอนจึงต้องแข่งขันกับ Confinity แต่สุดท้ายทุกคนก็ตกลงปลงใจร่วมมือกันในเดือนมีนาคม ปี 2000 อีลอนได้นั่งเก้าอี้ CEO และ X.com ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น PayPal
ทุกอย่างควรจะราบรื่นเสียที แต่อีลอนก็ต้องเจอกับการแย่งชิงตำแหน่ง CEO ที่อาจเหี้ยมเกรียมที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของซิลิคอนวัลเลย์
หลังควบรวมกิจการใหม่ๆ การจัดการภายในยังคงมีปัญหาอยู่ อีลอนมีปัญหากับแม็กซ์ ซึ่งเป็น CTO ที่คอยดูแลเรื่องระบบเซิร์ฟเวอร์อยู่เป็นประจำ อีลอนจึงหาช่วงเวลาลาไปพักร้อนเพื่อหลบจากเรื่องวุ่นวายเหล่านี้และถือโอกาสไปฮันนีมูนกับภรรยาด้วย ระหว่างที่อีลอนไม่อยู่ บอร์ดบริหารจึงถือโอกาสนี้ปลดอีลอนออกจากตำแหน่ง CEO แล้วให้ปีเตอร์ ธีลมาเป็น CEO แทน
แม้จะมีการเปลี่ยนตัว CEO แต่มันก็ไม่สามารถขวางการเติบโตอย่างรวดเร็วของ PayPal ได้ ในปี 2002 PayPal ก็ถูกขายต่อให้กับ eBay ด้วยมูลค่ากว่า 1,500 ล้านดอลลาร์ อีลอนได้รับเงินส่วนแบ่ง 250 ล้านดอลลาร์
ตอนนี้อีลอนมีทุกอย่างพร้อมแล้วสำหรับสานฝันของตัวเองให้เป็นจริง
บินไปอวความฝันที่เป็นจริงได้ด้วยยานอวกาศจาก SpaceX
ในปี 2001 อีลอนในวัยย่างเข้าเลข 3 ตัดสินใจพาครอบครัวย้ายไปอยู่ที่ลอสแอนเจลิส ใกล้ๆ กับศูนย์กลางของอุตสาหกรรมยานอวกาศ ธุรกิจที่เขาวาดฝันเอาไว้ตั้งแต่ยังเด็ก อีลอนฝันถึงการรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาฝันอยากไปก่อตั้งอาณานิคมบนดาวอังคารให้ได้
อีลอนเคยเดินทางไปที่เมืองมอสโก ประเทศรัสเซียเพื่อติดต่อขอซื้อจรวด แต่เขากลับพบว่าราคามันแพงมหาศาล! ในเมื่อจรวดมันแพงนัก เขาจึงตัดสินใจสร้างมันเองเลยแล้วกัน!
ในปี 2002 อีลอนจึงก่อตั้งบริษัท SpaceX ขึ้นมาโดยตั้งใจให้ SpaceX เป็นเหมือนสายการบิน South-West Airlines ที่มีชื่อเสียงในราคาตั๋วโคตรถูก อีลอนก็จะสร้างจรวดแบบถูกๆ บ้างเช่นกัน
จรวดของ SpaceX จะช่วยสานฝันของ Elon Musk ที่อยากไปตั้งอาณานิคมนอกโลก (ขอบคุณภาพจาก Spacex.com)
อีลอนเริ่มลงมือเตรียมประกอบจรวดทันที เขาจะไม่หยุดแค่การส่งจรวดไปโคจรรอบโลกเท่านั้น เพราะเป้าหมายของเขาคือการออกไปตั้งอาณานิคมนอกโลก แต่ต่อให้อีลอนจะเก่งกาจแค่ไหน เขาก็ต้องล้มเหลวไม่เป็นท่ากับการทดลองปล่อยจรวดของ SpaceX
- วันที่ 19 ธันวาคม 2005 SpaceX ได้ทำการปล่อยจรวด Falcon 1 เป็นครั้งแรก แต่ก็ล้มเหลว
- วันที่ 21 มีนาคม 2006 การปล่อยจรวด Falcon 1 ครั้งที่ 2 ได้เริ่มขึ้นอีกแต่ แต่อีลอนก็ยังล้มเหลวอีก
- วันที่ 3 สิงหาคม 2008 ความพยายามครั้งที่ 3 ในการปล่อยจรวด Falcon 1 ต้องพังไม่เป็นท่า เครื่องเกิดระเบิดขึ้นหลังจากที่กำลังลงจอดบนพื้นโลก
ความล้มเหลวหลายครั้งของ SpaceX เริ่มส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่สำหรับอีลอนแล้วเขายังคงเดินหน้าต่อ แม้ว่าเขาจะเหลือเงินทุนในการปล่อยจรวดอีกครั้งเดียวก็ตาม
ในที่สุดการปล่อยจรวด Falcon 1 ครั้งที่ 4 ก็ประสบความสำเร็จในวันที่ 28 กันยายน 2008 มันสามารถลงจอดบนโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ จรวดที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่นี้ได้ช่วยลดต้นทุนการขึ้นบินอย่างมหาศาล SpaceX ของอีลอนได้รับการเซ็นสัญญาจากนาซ่าเป็นมูลค่ามหาศาล
จากนั้นหมุดหมายแห่งความสำเร็จของ SpaceX ก็เพิ่มมากขึ้น
- ปี 2012 จรวด Dragon กลายเป็นยานอวกาศจากเอกชนลำแรกที่สามารถจอดเทียบสถานีอวกาศนานาชาติ
- ปี 2013 SpaceX ส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรค้างฟ้าได้สำเร็จ ซึ่งก่อนหน้านี้มีเพียงหน่วยงานรัฐเท่านั้นที่ทำได้
ความฝันที่จะนำพามนุษย์ไปตั้งอาณานิคมที่ดาวอังคารของอีลอนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้วและเขาคงไม่หยุดแค่นี้แน่นอน
อีลอนเริ่มลงมือเตรียมประกอบจรวดทันที เขาจะไม่หยุดแค่การส่งจรวดไปโคจรรอบโลกเท่านั้น เพราะเป้าหมายของเขาคือการออกไปตั้งอาณานิคมนอกโลก แต่ต่อให้อีลอนจะเก่งกาจแค่ไหน เขาก็ต้องล้มเหลวไม่เป็นท่ากับการทดลองปล่อยจรวดของ SpaceX
- วันที่ 19 ธันวาคม 2005 SpaceX ได้ทำการปล่อยจรวด Falcon 1 เป็นครั้งแรก แต่ก็ล้มเหลว
- วันที่ 21 มีนาคม 2006 การปล่อยจรวด Falcon 1 ครั้งที่ 2 ได้เริ่มขึ้นอีกแต่ แต่อีลอนก็ยังล้มเหลวอีก
- วันที่ 3 สิงหาคม 2008 ความพยายามครั้งที่ 3 ในการปล่อยจรวด Falcon 1 ต้องพังไม่เป็นท่า เครื่องเกิดระเบิดขึ้นหลังจากที่กำลังลงจอดบนพื้นโลก
ความล้มเหลวหลายครั้งของ SpaceX เริ่มส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่สำหรับอีลอนแล้วเขายังคงเดินหน้าต่อ แม้ว่าเขาจะเหลือเงินทุนในการปล่อยจรวดอีกครั้งเดียวก็ตาม
ในที่สุดการปล่อยจรวด Falcon 1 ครั้งที่ 4 ก็ประสบความสำเร็จในวันที่ 28 กันยายน 2008 มันสามารถลงจอดบนโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ จรวดที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่นี้ได้ช่วยลดต้นทุนการขึ้นบินอย่างมหาศาล SpaceX ของอีลอนได้รับการเซ็นสัญญาจากนาซ่าเป็นมูลค่ามหาศาล
จากนั้นหมุดหมายแห่งความสำเร็จของ SpaceX ก็เพิ่มมากขึ้น
- ปี 2012 จรวด Dragon กลายเป็นยานอวกาศจากเอกชนลำแรกที่สามารถจอดเทียบสถานีอวกาศนานาชาติ
- ปี 2013 SpaceX ส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรค้างฟ้าได้สำเร็จ ซึ่งก่อนหน้านี้มีเพียงหน่วยงานรัฐเท่านั้นที่ทำได้
ความฝันที่จะนำพามนุษย์ไปตั้งอาณานิคมที่ดาวอังคารของอีลอนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้วและเขาคงไม่หยุดแค่นี้แน่นอน
Tesla รถยนต์แห่งอนาคต
ตลอดเวลาที่ผ่านมารถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่นัก ยิ่งถ้าให้ใครก็ตามลองเลือกรถยนต์ในฝันสักคัน แบรนด์แรกๆ ที่ถูกนึกถึงก็คงหนีไม่พ้นซูเปอร์คาร์สัญชาติอิตาเลียนอย่างเฟอร์รารี่หรือแมคลาเรนจากอังกฤษ แต่รถยนต์พวกนี้ไม่ใช่รถยนต์แห่งอนาคตตามความคิดของอีลอน มัสก์แม้แต่น้อย
ในปี 2003 มาร์ติน เอเบอร์ฮาร์ด และมาร์ค ทาร์เพนนิ่ง ร่วมกันก่อตั้ง Tesla ขึ้น โดยพวกเขาพยายามจะสร้างรถยนต์ที่ใช้พลังงานจากไฟฟ้าแบบ 100% จนในปีต่อมาอีลอนก็ขอกระโดดเข้าร่วมวงด้วย อีลอนทุ่มเงินกว่า 6.5 ล้านดอลลาร์ จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นเพียงหนึ่งเดียวใน Tesla แถมได้นั่งเป็นประธานบริษัทด้วย อีลอนคิดว่า Tesla จะเป็นตัวปฏิวัติวงการรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นที่นิยม มีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม จากนั้นอีลอนก็ไปดึงตัวเจ.บี. สเตราเบล สุดยอดวิศวกรคนเก่งเข้ามาร่วมทีมด้วย
ความสำเร็จชิ้นแรกของ Tesla เกิดขึ้นในปี 2006 เมื่อรถยนต์รุ่น Roadster ซึ่งอีลอนมีส่วนเข้าไปช่วยออกแบบด้วยได้รับรางวัลการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อโลก Tesla จึงเหมือนติดปีกครั้งใหญ่แถมยังสามารถระดมทุนเพิ่มได้อย่างมหาศาล ขนาดยักษ์ใหญ่อย่าง Google ยังกระโดดมาร่วมลงทุนด้วย
แต่แล้วการโลดแล่นของ Tesla ก็ต้องสะดุด เพราะฝ่ายผลิตบริหารไม่ดีพอส่งผลให้ต้นทุนการผลิตพุ่งสูงจนน่าตกใจแถม Tesla ยังเจอปัญหาใหญ่กว่านั้น นั่นก็คือ การส่งมอบรถให้กับลูกค้าล่าช้าไปเป็นปี!
อีลอนตัดสินใจรื้อระบบการบริหารของ Tesla เสียใหม่ เขาไล่ทีมงานที่มีส่วนกับความล้มเหลวครั้งนี้ออกทั้งหมด รวมไปถึงผู้ก่อตั้งอย่างมาร์ติน เอเบอร์ฮาร์ด ด้วย จากนั้นก็เริ่มไขน็อตด้านการเงินด้วยการลดค่าใช้จ่ายทุกอย่างเท่าที่เป็นไปได้ ในที่สุดรถยนต์รุ่น Roadster ก็ออกสู่ตลาดได้ในราคาที่เหมาะสมในปี 2008
หลังจากนั้น Tesla ก็ออกรถยนต์รุ่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นรุ่น Model S, Model X และ Model 3 ซึ่งถือเป็นรุ่นที่มีราคาถูกที่สุดตั้งแต่ Tesla เริ่มทำรถยนต์ รุ่น Model 3 นี้มีราคาเริ่มต้นที่ 35,000 ดอลลาร์ (ราว 1ล้านบาทเศษๆ) เท่านั้น ทำให้มันมียอดจองเข้ามามากมาย
นอกจากนี้รุ่น Model S ยังถูกยกย่องให้เป็นรถยอดเยี่ยมด้วย รถรุ่นนี้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้อย่างต่อเนื่อง และมีเซ็นเซอร์ที่ให้คนขับติดเครื่องได้โดยไม่ต้องกดปุ่มอะไรเลยแม้แต่ปุ่มเดียว จนหลายคนต่างมากันเรียกรถรุ่น Model S นี้ว่า “คอมพิวเตอร์ติดพวงมาลัย”
โฉมหน้าของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% “Tesla Model S” (ขอบคุณภาพจาก Tesla.com)
และเมื่อปลายปี 2019 อีลอนก็ภูมิใจนำเสนอรถรุ่นใหม่จาก Tesla ที่ชื่อว่า Cybertruck รถกระบะซึ่งเขานิยามมันว่า “ใช้งานได้ดีกว่ารถบรรทุก และเจ๋งกว่ารถสปอร์ต”
อีลอนรื้อรูปลักษณ์เดิมๆ ของรถกระบะทิ้งไปทั้งหมด เพราะ Cybertruck เปิดตัวอย่างฮือฮาด้วยดีไซน์ที่ราวกับหลุดออกมาจากโลกแห่งภาพยนตร์ Sci-fi แต่ยังคงคอนเซปท์เดิมของ Tesla นั่นก็คือมันเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบ 100% จนถึงขณะนี้เจ้า Cybertruck มียอดจองเข้ามาแล้วมากกว่า 200,000 คันด้วยกัน! [2] (ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2019)
หลากหลายไอเดียแห่งอนาคตจาก Elon Musk
ลำพังแค่ความสำเร็จจาก Tesla และ SpaceX ก็นับเป็นเรื่องเหลือเชื่อแล้วที่ชายคนหนึ่งจะทำได้แล้ว แต่อีลอนยังมีไอเดียอื่นๆ ที่รอวันสุกงอมอีกนับไม่ถ้วน
The Boring Company: อย่าไปทนกับการจราจรที่แสนน่าเบื่อ
นี่คือชื่อที่ถูกอีลอนทวีตขึ้นมาเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2016 เขาจะทำอุโมงค์ยักษ์ใต้ดินเพื่อใช้ในการเดินทางด้วยความเร็วสูง ผู้คนจะได้ไม่ต้องไปเจอกับการจราจรอันแสนคับคั่งและน่าเบื่อหน่าย ถ้าเขาทำสำเร็จ นี่อาจเป็นโครงการขนส่งมวลชนรูปแบบใหม่ของมนุษย์ก็เป็นได้